โครงการระบบสนับสนุนเครือข่ายวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อ หน่วยภาคียุทธศาสตร์ภาคกลางและภาคตะวันออก
โครงการระบบสนับสนุนเครือข่ายวิจัยเชิงพื้นที่เพื่อการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อ หน่วยภาคียุทธศาสตร์ภาคกลางและภาคตะวันออก
Download เอกสารโครงการได้ในหัวข้อนี้
จากแผนภาพ "กลุ่ม ๑" สามารถสรุปเป็นความเรียงได้ดังนี้
แนวคิดหลักของแผนภาพนี้คือการนำเสนอระบบ "ธนาคารหน่วยกิต" (Credit Bank Platform) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มกลางสำหรับเชื่อมโยงและสะสมผลการเรียนรู้ตลอดชีวิตของผู้เรียนจากแหล่งต่างๆ ที่หลากหลาย
ระบบนี้มีองค์ประกอบสำคัญหลายส่วนที่ทำงานร่วมกัน ได้แก่
ผู้จัดการศึกษา: เป็นผู้สร้างและจัดหลักสูตรการเรียนรู้ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระบบการศึกษาในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงหน่วยงานต่างๆ เช่น
สถาบันอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา: เช่น มหาวิทยาลัย, วิทยาลัยอาชีวศึกษา (ปวช., ปวส.)
การศึกษาขั้นพื้นฐาน: ระดับประถม-มัธยม
หน่วยงานนอกระบบการศึกษา: เช่น กลุ่มอาชีพ, สมาคมวิชาชีพ, และบริษัทหรือสถาบันต่างๆ
หลักสูตร: มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่
หลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรเพิ่มเติม
หลักสูตรระยะสั้น (Non-degree)
การเรียนรู้บนฐานชุมชนและภูมิปัญญา หรือแม้กระทั่ง การศึกษาแบบพึ่งพาตนเอง
หน่วยรับรอง: ทำหน้าที่รับรองมาตรฐานของหลักสูตรและคุณวุฒิ เพื่อให้หน่วยกิตที่ได้รับเป็นที่ยอมรับและสามารถนำไปใช้เทียบโอนได้ หน่วยงานเหล่านี้ประกอบด้วย สภาวิชาชีพ, สมาคมวิชาชีพ ที่จะให้การรับรองตามมาตรฐานอาชีพและสมรรถนะ และออกเป็น "ประกาศนียบัตรคุณวุฒิวิชาชีพ"
กลไกการทำงานของ Credit Bank Platform:
เมื่อ "ผู้จัดการศึกษา" สร้างหลักสูตรที่ผ่านการรับรองจาก "หน่วยรับรอง" แล้ว จะทำการ นำส่งข้อมูลเข้าสู่ระบบธนาคารหน่วยกิต
ระบบนี้จะทำหน้าที่เป็น ระบบสะสมหน่วยกิต ในรูปแบบ e-Portfolio ของผู้เรียนแต่ละคน ทำให้ผู้เรียนมีสิทธิ์ในการสะสมผลการเรียนรู้ของตนเองจากทุกแหล่งที่เรียนมา
ผู้เรียนจะกลายเป็น เจ้าของข้อมูล การเรียนรู้ของตนเอง สามารถเข้าถึงข้อมูลและวางแผนการเรียนรู้ในอนาคตได้
หน่วยนโยบาย: มีบทบาทในการกำกับดูแลภาพรวมของระบบทั้งหมด โดยมี สภาการศึกษา เป็นหน่วยงานหลักในการออกแบบ, ประเมินผล, และกำกับดูแลให้ระบบธนาคารหน่วยกิตนี้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสรุป แผนภาพนี้นำเสนอโมเดลการศึกษาแห่งอนาคตที่มุ่งเน้นการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ผ่านแพลตฟอร์มธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank Platform) ที่เชื่อมโยงผู้จัดการศึกษาทั้งในและนอกระบบ, หลักสูตรที่หลากหลาย, และหน่วยงานรับรองมาตรฐานเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสะสมหน่วยกิตจากทุกประสบการณ์การเรียนรู้ และเป็นเจ้าของข้อมูลเส้นทางการศึกษาของตนเองได้อย่างแท้จริง
จากแผนภาพจากแผนภาพ "กลุ่ม ๒" สามารถสรุปเป็นความเรียงได้ดังนี้
แผนภาพนี้นำเสนอแนวคิด ระบบการศึกษาที่ยึด "สมรรถนะ" (Competency) เป็นแกนกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้เรียน
องค์ประกอบหลักของแนวคิดนี้ ประกอบด้วย:
สมรรถนะเป็นศูนย์กลาง: หัวใจของระบบนี้คือการมุ่งเน้นพัฒนาและวัดผลที่ "สมรรถนะ" ซึ่งเป็นความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิต แทนการยึดติดกับเนื้อหาวิชาหรือกรอบเวลาการศึกษาแบบเดิม
ผู้จัดการเรียนรู้ (Learning Providers): มีความหลากหลาย ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ใน โรงเรียน แต่ยังรวมถึง ศูนย์การเรียนรู้, วิทยาลัย, และมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องปรับบทบาทมาเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะ
ระบบการรับรองคุณภาพและคุณวุฒิ: เพื่อให้สมรรถนะที่ผู้เรียนได้รับเป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐาน จะต้องมีกลไกการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
หน่วยงานภาครัฐด้านการศึกษา: สพฐ. (การศึกษาขั้นพื้นฐาน), สอศ. (อาชีวศึกษา), อว. (อุดมศึกษา), สมศ. (ประกันคุณภาพ)
หน่วยงานด้านคุณวุฒิวิชาชีพ: สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (ส.ว.ท.ป.) และ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
การรับรองโดยสถาบันการศึกษาและสมาคมวิชาชีพต่างๆ
ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank): ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสะสมและเทียบโอนสมรรถนะที่ผู้เรียนได้รับจาก "ผู้จัดการเรียนรู้" ที่แตกต่างกัน โดยมีหน่วยงานนโยบายอย่าง อว. และ สพฐ. เป็นผู้ดูแล
บทบาทใหม่ของผู้เรียน: ผู้เรียนจะไม่ได้เป็นเพียงผู้รับความรู้ แต่จะมีบทบาทเชิงรุก (Active) มากขึ้น โดยควรมีส่วนร่วมในการออกแบบหลักสูตร, รู้เป้าหมายและแนวโน้มการพัฒนาทักษะที่จำเป็นของตนเอง และสามารถเห็นภาพความก้าวหน้าที่วัดผลได้ตลอดเส้นทางการเรียนรู้
ข้อเสนอเชิงนโยบายและการดำเนินงานที่สำคัญ ที่ระบุในแผนภาพคือ:
จัดทำหลักสูตรฐานสมรรถนะที่ยืดหยุ่น สามารถนำไปปรับใช้และบูรณาการข้ามรายวิชาได้
สร้างระบบการเทียบโอนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถโอนหน่วยกิตจากสมรรถนะที่ได้รับ ข้ามสถาบัน ข้ามหลักสูตร และข้ามสังกัดได้
สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็ง ทั้งระหว่างกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และระหว่างหน่วยงานภายใน (ภาคการศึกษา) กับหน่วยงานภายนอก (ภาคอุตสาหกรรม, ชุมชน)
โดยสรุป แผนภาพนี้ได้เสนอโมเดลการปฏิรูปการศึกษาโดยมี "สมรรถนะ" เป็นหัวใจหลัก ซึ่งต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้จัดการเรียนรู้, หน่วยงานรับรองคุณภาพ, ไปจนถึงกลไกธนาคารหน่วยกิต เพื่อสร้างระบบที่เอื้อให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ มีเส้นทางการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น และมีคุณวุฒิที่เป็นที่ยอมรับในโลกแห่งความเป็นจริง
จากแผนภาพ "ข้อสรุป G.2" สามารถสรุปเป็นความเรียงได้ดังนี้
แผนภาพนี้นำเสนอข้อสรุปเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาระบบการศึกษาที่มุ่งสู่เป้าหมายสูงสุดคือ "ผู้เรียนเป็นสุข" โดยผู้เรียนสามารถรู้จักตนเอง กำหนดเป้าหมาย และออกแบบเส้นทางการเรียนรู้และชีวิตของตนเองได้ตามความถนัดและความสามารถเฉพาะบุคคล ผ่านระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกัน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงและดำเนินการใน 4 มิติที่สำคัญ ดังนี้
ในระดับนโยบาย จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยต้อง ปรับแก้กฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาในทุกสังกัด เพื่อลดข้อจำกัดและสร้างความยืดหยุ่น นอกจากนี้ ต้องมีการจัดตั้งกลไกกลางระดับชาติ เช่น กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) และ ธนาคารหน่วยกิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อเป็นมาตรฐานในการเทียบโอนและรับรองการเรียนรู้จากทุกรูปแบบ พร้อมทั้งส่งเสริมและมอบอำนาจให้หน่วยงานในระดับพื้นที่ เช่น จังหวัด และ มหาวิทยาลัยราชภัฏ กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการเรียนรู้สำหรับคนในชุมชน
รูปแบบการจัดการเรียนรู้ต้องมีความหลากหลายและเปิดกว้าง ไม่จำกัดอยู่แค่ใน โรงเรียนในระบบ ซึ่งต้องปรับตัวให้เน้นนวัตกรรมมากขึ้น แต่ยังรวมถึง กลุ่มและศูนย์การเรียนรู้ ต่างๆ และแม้กระทั่งองค์กรภาคเอกชนหรือชุมชน (ในภาพยกตัวอย่าง "บ้าน ส้มตำ") ที่สามารถเป็นแหล่งเรียนรู้ได้เช่นกัน สถาบันอุดมศึกษาอย่าง มหาวิทยาลัย ต้องปรับบทบาทสู่การเป็นสถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) โดยนำเสนอ หลักสูตรระยะสั้น (Short Courses) และใช้ระบบ ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อรองรับผู้เรียนในทุกช่วงวัย (Pre-Pro-Post)
ระบบการวัดผลและรับรองคุณวุฒิต้องเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นที่การจบ หลักสูตร ไปสู่การยอมรับใน สมรรถนะ ที่ผู้เรียนมีอย่างแท้จริง ต้องมีกลไกส่งเสริมและรับรองการเรียนรู้ระยะสั้น เช่น จาก คอร์สเรียนออนไลน์ (MOOCs) เพื่อให้สามารถนำไปสู่การสะสมเป็นคุณวุฒิที่สูงขึ้นได้ เป็นการสร้างเส้นทางการเรียนรู้ที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล
เมื่อองค์ประกอบทั้งสามส่วนข้างต้นทำงานสอดประสานกัน จะนำไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ ผู้เรียนเป็นสุข ซึ่งหมายถึงผู้เรียนที่สามารถเข้าถึงการศึกษาที่หลากหลาย มีอิสระในการออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเอง และมีระบบที่รองรับการ เทียบโอนและประเมินค่า หน่วยกิตจากการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ทำให้การศึกษาสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายและชีวิตของแต่ละคนได้อย่างแท้จริง
จากแผนภาพของ "3" สามารถสรุปเป็นความเรียงได้ดังนี้
แผนภาพนี้นำเสนอแนวคิดและประเด็นท้าทายของ การจัดการศึกษาทางเลือก ในประเทศไทย โดยมีจุดเน้นที่ "บ้านเรียน" (Homeschool) และการเรียนใน หลักสูตรนานาชาติหรือสองภาษา รวมถึงข้อเสนอในการเชื่อมต่อการศึกษาเหล่านี้เข้ากับระบบการศึกษาในกระแสหลักและบทบาทของหน่วยงานเชิงนโยบาย
ปัจจุบัน การทำบ้านเรียนหรือโฮมสคูลเป็นรูปแบบการศึกษาที่ถูกกฎหมาย แต่ยังคงมีความท้าทายในทางปฏิบัติอยู่หลายประการ:
การขออนุญาต: การดำเนินการต้องขออนุญาตจากเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งอาจมีขั้นตอนที่ซับซ้อน
ข้อจำกัด: ผู้เรียนอาจประสบปัญหาการขาดกลุ่มเพื่อน (สังคม) และมีความกังวลเกี่ยวกับเส้นทางการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
แนวทางแก้ไข: เพื่อลดข้อจำกัดดังกล่าว ผู้ปกครองสามารถใช้วิธี รวมกลุ่ม กับครอบครัวอื่นที่ทำบ้านเรียนเหมือนกัน, หาที่เรียนพิเศษ เพิ่มเติม หรือใช้การ สอบเทียบ เช่น GED เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่มหาวิทยาลัย โดยแนวทางการจัดการเรียนรู้มักเน้นสไตล์นานาชาติ (Inter) ซึ่งต้องอาศัยการพูดคุยและวางแผนร่วมกันระหว่างผู้ปกครองและผู้เรียนเป็นสำคัญ
สำหรับผู้เรียนในระบบทางเลือก การใช้หลักสูตรและการสอบมาตรฐานสากลเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่สำคัญ ได้แก่:
GED (General Educational Development): เป็นวุฒิการศึกษาเทียบเท่า ม.ปลาย ที่ได้รับการยอมรับ ประกอบด้วยวิชาหลักอย่างคณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, ฟิสิกส์, และชีววิทยา
การสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ: เช่น TOEFL, IELTS, TOEIC ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติหรือในต่างประเทศ
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือปัญหาในการที่นักเรียนจากระบบบ้านเรียนจะกลับเข้าสู่โรงเรียนในระบบสามัญ ซึ่งมักเผชิญกับ การไม่ยอมรับ แนวทางแก้ไขที่นำเสนอคือการสร้าง ความยืดหยุ่น ในระบบ โดยให้มีการพูดคุยเพื่อปรับตัวร่วมกันทั้งสามฝ่ายคือ ครู, ผู้ปกครอง, และผู้เรียน พร้อมทั้งอาจต้องมีการปรับหลักสูตรให้เชื่อมต่อกันได้ โดยเน้นวิชาแกนหลัก เช่น ภาษาอังกฤษ, สังคมศึกษาเชิงนานาชาติ (เพื่อมุ่งสู่ ASEAN), วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
การจัดการศึกษาทางเลือกจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐหลายแห่ง ซึ่งประกอบด้วย:
กระทรวงศึกษาธิการ: หน่วยงานกำกับดูแลหลัก
กระทรวงการอุดมศึกษาฯ (อว.): ดูแลเรื่องหลักสูตรระดับอุดมศึกษาที่รองรับวุฒิทางเลือก
หน่วยงานอื่นๆ: เช่น กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีบทบาทในการเชื่อมโยงการศึกษาไทยกับมหาวิทยาลัยและตลาดแรงงานในต่างประเทศ
โดยสรุป แผนภาพนี้ชี้ให้เห็นว่าการศึกษาทางเลือกอย่างบ้านเรียนและหลักสูตรนานาชาติเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพ แต่ต้องการการสนับสนุนทั้งในระดับชุมชน (การรวมกลุ่ม) และระดับนโยบาย เพื่อสร้างความยืดหยุ่น, การยอมรับ, และเส้นทางการเรียนรู้ที่ราบรื่นสำหรับผู้เรียนทุกคน
จากภาพรวมของกระดาษบันทึกความคิดเห็น (Sticky Notes) สามารถสังเคราะห์และสรุปจุดเน้นสำคัญออกมาเป็นบทความเรียงความเชิงวิเคราะห์ เพื่อฉายภาพทิศทางการปฏิรูปการศึกษาที่นำเสนอได้อย่างครอบคลุม ดังนี้
เอกสารทั้งหมดสะท้อนวิสัยทัศน์ร่วมกันในการ "ปฏิวัติกระบวนทัศน์ (Paradigm Shift)" ของระบบการศึกษาไทยครั้งสำคัญ โดยมีเป้าหมายสูงสุดเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่ยืดหยุ่น ตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างของผู้เรียนเป็นรายบุคคล และสามารถเชื่อมโยงการเรียนรู้เข้ากับการใช้ชีวิตและการทำงานในโลกยุคใหม่ได้อย่างแท้จริง โดยมีเสาหลักสำคัญสองประการที่ค้ำยันแนวคิดการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ คือ การเปลี่ยนเป้าหมายการวัดผลไปสู่ "สมรรถนะ" (Competency) และ การสร้างกลไกกลางที่เรียกว่า "ธนาคารหน่วยกิต" (Credit Bank Platform) เพื่อขับเคลื่อนระบบนิเวศการเรียนรู้ทั้งหมด
1. หัวใจสำคัญ: การเปลี่ยนผ่านจาก "เนื้อหา" สู่ "สมรรถนะ"
จุดเน้นที่ถือเป็นรากฐานทางปรัชญาของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือการย้ายจุดศูนย์กลางของระบบการศึกษาจากการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนจดจำ "เนื้อหา" ในตำรา ไปสู่การพัฒนา "สมรรถนะ" ที่จับต้องและนำไปใช้ได้จริง สมรรถนะในที่นี้มีความหมายกว้างกว่าเพียงทักษะทางอาชีพ แต่ยังครอบคลุมถึงทักษะชีวิต ความสามารถในการแก้ปัญหา การคิดวิเคราะห์ การปรับตัว และการเรียนรู้ด้วยตนเอง แนวคิดนี้ถูกสะท้อนผ่านข้อเสนอที่ต้องการให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับประสบการณ์จริง สนับสนุนการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ การศึกษาดูงานในสถานประกอบการ และการให้คุณค่ากับการเรียนรู้ที่อยู่นอกเหนือคุณวุฒิทางวิชาการ เช่น คุณค่าทางวิถีชีวิตและวัฒนธรรม เพื่อสร้างคนที่สมบูรณ์และพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต
2. กลไกขับเคลื่อนหลัก: แพลตฟอร์มธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank Platform)
เพื่อให้ปรัชญาเรื่องสมรรถนะเกิดขึ้นได้จริง กลไกสำคัญที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นกระดูกสันหลังของระบบใหม่นี้คือ "ธนาคารหน่วยกิต" ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแพลตฟอร์มกลางระดับชาติที่มีความน่าเชื่อถือ ทำหน้าที่รวบรวม จัดเก็บ และรับรองหน่วยกิตจากการเรียนรู้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในระบบ, การศึกษานอกระบบ (เช่น หลักสูตรระยะสั้น, คอร์สเรียนออนไลน์ MOOCs), การศึกษาตามอัธยาศัย, การฝึกอบรมในที่ทำงาน, และที่สำคัญคือการศึกษาทางเลือกอย่าง "บ้านเรียน" (Home School) ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในฐานะรูปแบบการเรียนรู้ที่ต้องได้รับการยอมรับและเชื่อมโยงเข้ากับระบบหลักให้ได้ แพลตฟอร์มนี้จะทำหน้าที่เสมือน "พอร์ตโฟลิโออิเล็กทรอนิกส์ (e-Portfolio)" ประจำตัวของผู้เรียน ที่สามารถสะสมผลการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต และนำไปใช้เทียบโอนเพื่อการศึกษาต่อหรือเพื่อการทำงานได้
3. การสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ไร้พรมแดน
วิสัยทัศน์นี้ได้ทลายกำแพงของ "ห้องเรียน" แบบดั้งเดิมลงอย่างสิ้นเชิง และแทนที่ด้วยระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เปิดกว้างและไร้พรมแดน ซึ่งมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
ผู้จัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย: ไม่ได้จำกัดอยู่แค่โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แต่ยังรวมถึงสถาบันอาชีวศึกษา, บริษัทเอกชน, สมาคมวิชาชีพ, ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน และแหล่งเรียนรู้ทางภูมิปัญญาท้องถิ่น
ความยืดหยุ่นของหลักสูตรและเวลา: มีการเรียกร้องให้ "ปลดล็อก" ข้อจำกัดด้านเวลาเรียนและโครงสร้างหลักสูตรที่ตายตัว ส่งเสริมให้เกิดโมเดล "1 โรงเรียน หลายรูปแบบ" และสนับสนุนหลักสูตรระยะสั้นที่ตอบโจทย์การพัฒนาทักษะอย่างรวดเร็ว
การเชื่อมโยงข้ามศาสตร์และข้ามสถาบัน: ระบบธนาคารหน่วยกิตจะเอื้อให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนข้ามสาขาวิชา ข้ามสถาบันการศึกษา และแม้กระทั่งข้ามประเทศได้อย่างอิสระมากขึ้น
4. บทบาทใหม่ของ "ผู้เรียน" และ "สถาบันการศึกษา"
ในกระบวนทัศน์ใหม่นี้ ผู้เรียน จะเปลี่ยนสถานะจาก "ผู้รับ" (Passive Learner) มาเป็น "ผู้เรียนรู้เชิงรุก" (Active Learner) ที่มีอำนาจในการร่วมออกแบบเส้นทางการเรียนรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจ ขณะเดียวกัน สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะมหาวิทยาลัย จะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทครั้งใหญ่ จากการเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดความรู้ (Knowledge Provider) ไปสู่การเป็น "ผู้อำนวยความสะดวกและผู้เล่นสำคัญ" (Key Player & Facilitator) ในระบบนิเวศ ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงผู้เรียนเข้ากับแหล่งความรู้ที่หลากหลายและรับรองคุณภาพของสมรรถนะที่เกิดขึ้น
5. ความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายและโครงสร้าง
การจะทำให้วิสัยทัศน์ทั้งหมดนี้เป็นจริงได้ จำเป็นต้องอาศัยการสนับสนุนและการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการปรับแก้กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง, การปรับโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ, และการจัดตั้งกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF) ที่สอดคล้องกับระบบธนาคารหน่วยกิต นอกจากนี้ ประเด็นเรื่อง ความเท่าเทียมทางการศึกษา ยังเป็นสิ่งที่ถูกเน้นย้ำ โดยภาครัฐจะต้องเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนเพื่อให้เด็กและผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์สามารถเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ที่หลากหลายเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึง และที่สำคัญที่สุดคือการสร้าง การรับรู้ (Awareness) และประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วนในสังคมเข้าใจและเห็นถึงประโยชน์ของระบบใหม่นี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับและการขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
โดยสรุป เอกสารทั้งหมดได้นำเสนอพิมพ์เขียวของการปฏิรูปการศึกษาที่ครอบคลุมและลึกซึ้ง โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างคนไทยแห่งอนาคตที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต มีสมรรถนะที่จำเป็น และสามารถออกแบบเส้นทางชีวิตของตนเองได้อย่างมีความสุขและเต็มศักยภาพ ผ่านระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น เปิดกว้าง และมีธนาคารหน่วยกิตเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ