ระบบการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับชีวิตจริงและการจ้างงาน: การศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิตคนทั้งหมด และไม่ได้เตรียมความพร้อมกับชีวิตจริง ทำให้ผู้เรียนมีวุฒิสูงขึ้นแต่กลับไม่มีโอกาสในการทำงาน บางหลักสูตรไม่เชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงาน
ความเหลื่อมล้ำและคุณภาพการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม: มีความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาการของเด็ก คุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และโอกาสทางการศึกษา
ขาดแคลนแรงจูงใจในการเรียน: เด็กบางคนไม่มีใจอยากพัฒนาตนเอง และถูกดึงดูดด้วยรายได้จากการทำงานในระยะสั้น (เช่น คาสิโน) ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่างานราชการ
ปัญหาด้านสุขภาพจิตและสังคม: เด็กเผชิญกับกับดักยาเสพติด การพนันออนไลน์ และปัญหาครอบครัวแตกแยก ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และความตั้งใจ
โครงสร้างการศึกษาที่ซับซ้อนและขาดทิศทาง: ระบบการศึกษาปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งและบางส่วน "หลงทาง" ขาดการบูรณาการ และไม่มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาจังหวัด
ครูและบุคลากรทางการศึกษา: ครูต้องรับภาระงานเอกสารและงานอื่นนอกเหนือจากการสอนมาก ทำให้มีเวลาเตรียมการสอนน้อย และครูที่มีความสามารถมักย้ายออกจากจังหวัดสระแก้ว
พัฒนาคนสระแก้วให้มีความรู้ ความสามารถ และคุณธรรม: เพื่อให้เยาวชนเป็นคนเก่ง คนดี มีศีลธรรม มีความกตัญญู และมีความเข้มแข็งทางจิตใจ สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในชีวิต
จัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ: เพื่อให้คนสระแก้วทุกช่วงวัยได้รับการศึกษาตลอดชีวิต โดยมีรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายและสอดคล้องกับความต้องการและความถนัดของผู้เรียน รวมถึงการเรียนรู้แบบมีอาชีพควบคู่ไปด้วย
สร้างโอกาสในการมีงานทำและคุณภาพชีวิตที่ดี: ผลิตบุคลากรที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ลดปัญหาการว่างงาน และช่วยให้ผู้เรียนสามารถพึ่งพาตนเองและสร้างรายได้ได้
ลดความเหลื่อมล้ำและดูแลเด็กด้อยโอกาส: ให้ความสำคัญกับการเข้าถึงการศึกษาของเด็กนอกระบบและเด็กที่หลุดออกจากระบบ รวมถึงการส่งเสริมคุณภาพการศึกษาในทุกระดับเพื่อลดช่องว่าง
บูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน: ให้ทุกภาคีเห็นความสำคัญและร่วมรับผิดชอบในการพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานการศึกษาทุกต้นสังกัด ครอบครัว และภาคเอกชน
ตอบสนองต่อบริบทและความต้องการของจังหวัด: พัฒนาหลักสูตรและรูปแบบการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของจังหวัด และสร้างนวัตกรในพื้นที่
เด็กบางคนเรียนจบประถมแต่ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมได้
หลักสูตรในระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาบางครั้งไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เรียนเลือกไว้หรือต้องการในชีวิตจริง
ปัญหาเด็กไม่จบ ม.3 ซึ่งเป็นขั้นบังคับ ทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับ ปวช. ได้
ความเชื่อมโยงระหว่างการศึกษากับชีวิตจริงและการทำงาน:
การเรียนในห้องเรียนไม่ได้เชื่อมต่อกับชีวิตจริงมากนัก ทำให้เด็กบางคนไม่รู้จักตัวตนหรืออาชีพที่อยากทำในอนาคต
ผู้เรียนมีวุฒิสูงขึ้นแต่กลับไม่มีโอกาสในการทำงาน หรือหางานทำได้ยาก
มีแรงจูงใจในการเลือกทำงานที่มีรายได้สูงในระยะสั้น (เช่น คาสิโน) มากกว่าการศึกษาที่อาจให้ผลตอบแทนในระยะยาว
ความเหลื่อมล้ำและเด็กนอกระบบ:
มีเด็กจำนวนมากที่หลุดจากระบบการศึกษาและเข้าไม่ถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ระบุว่ากว่า 8,300 คนในจังหวัด) ซึ่งผู้มีตำแหน่งมักมองข้าม
ความเหลื่อมล้ำในการพัฒนาของเด็ก เช่น ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่ไม่มีคุณภาพเท่าเทียมกัน
การขาดแคลนทุนทรัพย์และภาระทางบ้านเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เด็กต้องเลือกปากท้องก่อนการศึกษา
โครงสร้างและการบริหารจัดการ:
โครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่ซับซ้อนและทับซ้อนกันมาก ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ขาดการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างภาคส่วนการศึกษา หน่วยงาน และต้นสังกัดต่าง ๆ
ระบบการนิเทศ ติดตาม ประเมินผล ยังเป็นระบบที่อ่อนแอที่สุด
ปัญหาจากสภาพแวดล้อมและสังคม:
เด็กเผชิญกับกับดักยาเสพติด การพนันออนไลน์ และปัญหาครอบครัวแตกแยก ซึ่งส่งผลต่อการเรียนรู้และความตั้งใจ
การขาดทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวัน การวิเคราะห์ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกับผู้อื่น
วิทยาลัยอาชีวศึกษา
เครดิตแบงก์ (Bank of Credits): เป็นโครงการนําร่องที่ให้นักเรียนเรียนหลักสูตรระยะสั้นเพื่อเก็บหน่วยกิต สามารถนำไปเทียบโอนกับการเรียนปกติ หรือออกวุฒิ ปวช. ได้
ทวิภาคี/ทวิศึกษา: นักเรียนสามารถเรียนควบคู่กับการทำงานหรือฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ ซึ่งช่วยให้นักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียน
ทวิวุฒิ: มีโครงการเรียนร่วมกับต่างประเทศ (เช่น จีน) ที่ผู้เรียนสามารถได้รับวุฒิจากทั้งสองประเทศ
ศูนย์ทดสอบมาตรฐานวิชาชีพ: วิทยาลัยมีศูนย์ทดสอบที่ให้นักเรียนสอบเพื่อรับใบรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างก่อสร้าง ช่างเชื่อม) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดแรงงานและสามารถใช้เทียบโอนประสบการณ์ได้
หลักสูตรเฉพาะทาง: เช่น หลักสูตรช่างอากาศยานไร้คนขับ (โดรน) เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดงานด้านเกษตรและอื่น ๆ
มหาวิทยาลัย (ตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ):
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU): ร่วมมือกับอาชีวศึกษา, สพม. และ อบจ. ในการเปิดโอกาสให้นักเรียน ม.ปลาย หรือ ปวช. สามารถเรียนเก็บหน่วยกิตของมหาวิทยาลัยได้ (Credit Bank) ด้วยค่าใช้จ่ายที่ลดลง
เทียบโอนหน่วยกิต/ประสบการณ์: ผู้เรียนสามารถเทียบโอนหน่วยกิตจากวิชาที่เรียนในระดับมัธยมหรืออาชีวะ รวมถึงการเทียบโอนประสบการณ์การทำงาน เพื่อลดระยะเวลาในการศึกษา
หลักสูตรแบบใหม่ (อยู่ระหว่างพัฒนา): จะเปิดโอกาสให้นักศึกษา "เลือก" เรียนวิชาที่ตนเองสนใจจากหลากหลายสาขาจนครบ 120 หน่วยกิต โดยมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษา เพื่อให้การเรียนสอดคล้องกับความถนัดของแต่ละบุคคล
การเรียนแบบผสมผสาน (Hybrid Learning) และ Block Course: การจัดการเรียนการสอนแบบแบ่งเป็นช่วงสั้น ๆ (เช่น 2 วิชาใน 5 สัปดาห์) และใช้การเรียนแบบออนไลน์ควบคู่กับการเรียนในชั้นเรียน เพื่อลดภาระการเดินทางและช่วยให้เด็กไม่หลุดจากการเรียน
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.):
การศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย: มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาให้กับเด็กนอกระบบและผู้ด้อยโอกาส รวมถึงการใช้ประสบการณ์อาชีพมาเทียบโอนเป็นหน่วยกิต (เทียบระดับ) เพื่อให้จบการศึกษาได้เร็วขึ้น
การเทียบโอน: สกร. มีระบบการเทียบระดับที่ยืดหยุ่น โดยสามารถนำประสบการณ์มาเทียบโอนได้ และเสนอให้สถานศึกษาอื่น ๆ นำระบบนี้ไปใช้ เพื่อช่วยเด็กที่ขาดโอกาส
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.):
การเทียบโอนในระเบียบวัดผล: แม้ระเบียบการเทียบโอนมีอยู่แล้วแต่ยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย หากมีการนำมาใช้อย่างจริงจังจะช่วยให้เด็กที่เรียนไม่จบ ม.3 หรือเด็กที่มีภาระอื่น ๆ สามารถจบการศึกษาภาคบังคับได้โดยไม่หลุดออกจากระบบ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.):
หลักสูตรคุณลักษณะพิเศษ: สามารถออกแบบหลักสูตรเฉพาะทางเพื่อพัฒนาทักษะและความถนัดของเด็กแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะเด็กที่หลุดออกจากระบบ
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ:
การศึกษาควบคู่การบวชเรียน: เปิดโอกาสให้สามเณรและพระภิกษุที่จบประถมและขาดโอกาสทางการศึกษา ได้เรียนต่อในระดับมัธยมควบคู่กับการศึกษาพระธรรมวินัย ซึ่งสามารถต่อยอดไปถึงระดับอุดมศึกษาได้
สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ:
การให้ใบรับรองวิชาชีพ: หน่วยงานต่าง ๆ (เช่น มหาวิทยาลัย) มีการร่วมมือกับสถาบันฯ ในการจัดอบรมและให้ใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพแก่ประชาชนทั่วไป (เช่น เกษตรกรผู้คัดแยกชมพู่ ผู้เลี้ยงโคนม) เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้ในอาชีพของตน
1. หน่วยงานภาครัฐ (ด้านการศึกษา)
อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา
เน้นการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นผ่านโปรแกรมและระบบที่ชัดเจน เช่น Credit Bank (ธนาคารหน่วยกิต), หลักสูตรระยะสั้น, การเรียนแบบทวิภาคี/ทวิวุฒิ, การเทียบโอนหน่วยกิตจากประสบการณ์, การปรับโครงสร้างหลักสูตรให้ผู้เรียนเลือกวิชาเอง (อยู่ระหว่างพัฒนา), และการใช้ Block Course หรือ Hybrid Learning เพื่อลดระยะเวลาและภาระของผู้เรียน
มองว่าเป็นการเพิ่มโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาและงาน
มีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรเฉพาะทาง (เช่น ช่างโดรน, ใบรับรองวิชาชีพ) เพื่อตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.):
ให้ความสำคัญกับการจัดการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย โดยใช้ระบบการเทียบระดับจากประสบการณ์อาชีพ
เห็นว่าเป็น "ทางด่วนพิเศษ" ในการช่วยให้ผู้ที่หลุดจากระบบสามารถจบการศึกษาได้
สนับสนุนการเพิ่มหลักสูตรออนไลน์และการเปิดศูนย์ทดสอบฝีมือแรงงานในทุกพื้นที่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพป., สพม.) และศึกษาธิการจังหวัด:
รับทราบและเห็นด้วยกับการใช้แนวคิดการเทียบโอนที่มีอยู่ในระเบียบวัดผลของโรงเรียนเพื่อช่วยให้เด็กไม่หลุดจากภาคบังคับ (เช่น ไม่จบ ม.3)
เน้นการลดปัญหาเด็กนอกระบบและเด็กหลุดจากระบบการศึกษา
ศึกษานิเทศ สกร. เสนอให้ศึกษาธิการจังหวัดเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการทำงานของทุกหน่วยงาน
เน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจและคุณธรรมในทุกระดับ
ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาพิเศษ
วิพากษ์วิจารณ์ว่าระบบการศึกษาปัจจุบัน "หลงทาง" และซับซ้อนเกินไป
เสนอให้มีการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ภายใต้ พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อสร้างหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของจังหวัดและตลาดแรงงาน
เน้นการคัดกรองศักยภาพเด็กตามความถนัด และการพัฒนาเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์
2. หน่วยงานภาครัฐ (ภายนอกวงการศึกษา)
สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสระแก้ว:
มีมุมมองจากภายนอกวงการศึกษา โดยเน้นการ "สำรวจเด็กตกหล่นขาดหายจากระบบการศึกษา" ซึ่งมีจำนวนมากและไม่ได้รับการดูแล
เสนอให้สถาบันการศึกษามีห้องแนะแนวเพื่อเข้าถึงปัญหาเด็กแต่ละคน และเสนอให้มีการ "ให้ความรู้ผู้ปกครอง" ในการเลี้ยงดูบุตรหลานในสังคมที่หลากหลาย
ต้องการให้ภาคีเอกชน (เช่น สภาอุตสาหกรรม) มีส่วนร่วมมากขึ้นในการเชื่อมโยงการศึกษากับความต้องการแรงงาน
3. ภาคประชาสังคมและศาสนา
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ
เน้นการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นผ่านโรงเรียนพระปริยัติธรรม ซึ่งให้โอกาสการศึกษาฟรีแก่สามเณรและพระภิกษุที่ขาดโอกาสในระบบสามัญ
เห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาคนให้เป็น "คนเก่ง คนดี มีศีลธรรม และกตัญญู"
เสนอให้มีการสอนวิชาชีพ (เช่น การขับเครื่องจักรกลหนัก) พร้อมใบรับรองวิชาชีพ
ตระหนักถึง "กับดัก" ทางสังคม เช่น ยาเสพติด การพนันออนไลน์ และปัญหาครอบครัวแตกแยก ที่ทำให้เด็กหลุดจากระบบ
4. เด็กและเยาวชน (ตัวแทนสภาเด็กและนักเรียน)
นักเรียน
เห็นว่าระบบการศึกษามีรอยต่อที่สำคัญ เช่น เรียนจบแต่เข้าเรียนต่อไม่ได้ หรือหลักสูตรไม่สอดคล้องกับความต้องการ
การเรียนในห้องเรียนยังไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิตจริง ทำให้ไม่รู้จักตัวตนและอาชีพที่อยากทำ
มองเห็น "กับดักทางการศึกษา" เช่น เรียนสูงขึ้นแต่ไม่มีงานทำ และขาดทักษะที่จำเป็นในชีวิตจริง
เน้นย้ำถึงความสำคัญของ "สุขภาพจิต" ของเด็ก และต้องการให้ผู้ใหญ่ "รับฟังความคิดเห็นของเด็ก" มากขึ้น รวมถึงปรับการศึกษาให้เข้ากับยุคสมัย
คุณครูที่ดูแลนักเรียนคนนี้เสริมว่า ต้องการ "คืนครูสู่ห้องเรียน" โดยลดภาระเอกสารและเน้นการสอน รวมถึงการวัดผลที่สอดคล้องกับศักยภาพของเด็กแต่ละคน
สรุปความต่างและความเหมือน:
ความเหมือน: ทุกภาคส่วนเห็นพ้องต้องกันในความจำเป็นของการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อเพื่อ ลดปัญหาเด็กตกหล่นและเพิ่มโอกาสในการมีงานทำ โดยเน้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะที่จำเป็นในการใช้ชีวิตจริง รวมถึงการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม
ความต่าง:
หน่วยงานภาครัฐด้านการศึกษา (โดยเฉพาะอาชีวะและอุดมศึกษา) มีแนวโน้มที่จะนำเสนอโซลูชันที่เป็น ระบบและโครงสร้าง เพื่อรองรับความยืดหยุ่น เช่น โปรแกรมการเทียบโอน หรือการปรับหลักสูตรภายใน
หน่วยงานภาครัฐภายนอก (อุตสาหกรรมจังหวัด) และภาคประชาสังคม (พระครู) จะมองในมุมที่กว้างกว่า โดยเน้นไปที่ การเข้าถึงพื้นฐานสำหรับผู้ด้อยโอกาส, การบูรณาการกับสภาพสังคมและครอบครัว, และการตอบสนองต่อความต้องการของภาคแรงงาน
เด็กและเยาวชน สะท้อนปัญหาจากมุมมองของผู้เรียนโดยตรง เน้นความ "สอดคล้องกับชีวิตจริง" "สุขภาพจิต" และ "การมีส่วนร่วมในการออกแบบการศึกษา" ที่ตรงกับความสนใจและบริบทของตนเอง
โดยรวมแล้ว การจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นในจังหวัดสระแก้วมีความพยายามจากหลายภาคส่วน ทั้งในเชิงนโยบาย โปรแกรมการเรียนรู้ และการแก้ปัญหารายบุคคล แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในการประสานงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้เรียนอย่างแท้จริง
มหาวิทยาลัยราชภัฏวลัยลงกรณ์
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU): ร่วมกับอาชีวศึกษา, สพม. และ อบจ. เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียน ม.ปลาย หรือ ปวช. เรียนเก็บหน่วยกิตของมหาวิทยาลัย (Credit Bank) ได้ในราคาถูก (100 บาทต่อหน่วยกิต) และสามารถเทียบโอนหน่วยกิตจากวิชาที่เรียนมาได้
หลักสูตรแบบใหม่: อยู่ระหว่างการพัฒนาหลักสูตรที่ให้นักศึกษา "เลือก" เรียนวิชาที่ตนเองสนใจได้เองจนครบ 120 หน่วยกิต โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ เพื่อให้การเรียนสอดคล้องกับความถนัด
ระบบ Block Course / Hybrid Learning: ปรับการเรียนการสอนเป็นบล็อกสั้นๆ (เช่น 2 วิชาใน 5 สัปดาห์) และผสมผสานการเรียนออนไลน์กับการเข้าเรียน เพื่อลดภาระและป้องกันการหลุดออกจากระบบ
การเทียบโอนประสบการณ์: เปิดโอกาสให้ผู้ที่ทำงาน (เช่น ทหาร, กำนัน) สามารถเทียบโอนประสบการณ์วิชาชีพเพื่อลดระยะเวลาการศึกษา
ร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ: จัดอบรมและให้ใบรับรองวิชาชีพ (เช่น เกษตรกรผู้คัดแยกชมพู่, ผู้เลี้ยงโคนม) เพื่อเพิ่มมูลค่าและรายได้
ผู้แทนจากอาชีวศึกษา
Credit Bank (ธนาคารหน่วยกิต): เป็นโครงการนำร่องให้นักเรียนเรียนหลักสูตรระยะสั้นเพื่อเก็บหน่วยกิตและนำไปเทียบโอนเป็นวุฒิ ปวช. ได้
ทวิศึกษา: ให้เรียน ปวช. ควบคู่กับ ม.6
ทวิภาคี: เรียนในสถานศึกษา 1 ปี และฝึกประสบการณ์ในสถานประกอบการ 1 ปี เพื่อให้มีรายได้ระหว่างเรียน
ทวิวุฒิ: มีโครงการเรียนร่วมกับต่างประเทศ (เช่น จีน) ที่ผู้เรียนได้รับวุฒิจากทั้งสองประเทศ
ศูนย์ทดสอบมาตรฐานวิชาชีพ: มีศูนย์ทดสอบที่ให้ใบรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (เช่น ช่างไฟฟ้า ช่างก่อสร้าง ช่างเชื่อม) ซึ่งสำคัญต่อการทำงาน
หลักสูตรเฉพาะทาง: เช่น หลักสูตรช่างอากาศยานไร้คนขับ (โดรน)
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้
ส่งเสริมการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย: เน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนการศึกษากลุ่มนี้
ใช้ระเบียบ "เทียบโอน": ชี้ให้เห็นว่าโรงเรียนสามารถใช้ระเบียบวัดผลที่มีอยู่ในการเทียบโอนหน่วยกิตเพื่อช่วยให้เด็กที่อาจเรียนไม่ครบหลักสูตรภาคบังคับจบการศึกษาได้
สกร. มี "ทางด่วนพิเศษ": ระบบการเทียบระดับโดยใช้ประสบการณ์อาชีพมาเทียบโอน เพื่อให้ผู้ที่หลุดจากระบบสามารถจบการศึกษาได้เร็วขึ้น
เสนอให้เพิ่มหลักสูตรออนไลน์และศูนย์ทดสอบฝีมือแรงงาน: เพื่อความยืดหยุ่นในการเรียนรู้และการรับรองทักษะ
ศูนย์การศึกษาพิเศษ
เสนอการบูรณาการความร่วมมือ: ให้ทุกภาคส่วนโดยเฉพาะภาครัฐและเอกชนมาร่วมกันภายใต้ พ.ร.บ. พื้นที่นวัตกรรมการศึกษา เพื่อสร้างหลักสูตรและคัดกรองศักยภาพเด็กตามความถนัด ตั้งแต่แรกเริ่มถึงอายุ 18 ปี
เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจ: ผลิตคนให้ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อลดปัญหาการผลิตแรงงานล้นตลาด
โรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ
โรงเรียนพระปริยัติธรรม: เป็นรูปแบบการศึกษาที่ยืดหยุ่นและให้โอกาสทางการศึกษาแก่สามเณรและพระภิกษุที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้บวชฟรี เรียนฟรี ตั้งแต่ระดับประถมจนถึงอุดมศึกษา
เสนอให้เพิ่มหลักสูตรวิชาชีพเฉพาะทาง: เช่น การขับเครื่องจักรกลหนัก พร้อมใบรับรองวิชาชีพ เพื่อสร้างทางเลือกและรายได้ที่สุจริตให้กับเยาวชน
ปัญหาเด็กนอกระบบและการหลุดออกจากระบบการศึกษา:
มีเด็กจำนวนมากถึง 8,300 กว่าคนในจังหวัดที่หลุดออกจากระบบการศึกษา และผู้บริหารมักมองข้ามเด็กกลุ่มนี้
เด็กบางคนเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ (ม.3) ทำให้ไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นได้
ปัญหาขาดแคลนทุนทรัพย์และภาระทางบ้าน ทำให้เด็กต้องเลือกหารายได้มากกว่าการศึกษา และอาจถูกดึงดูดไปทำงานที่มีรายได้สูงในระยะสั้น (เช่น คาสิโน)
ระบบการศึกษาและหลักสูตรที่ไม่สอดคล้องกับชีวิตจริง:
การศึกษาไม่ตอบโจทย์ชีวิตคนทั้งหมด ไม่ได้เตรียมความพร้อมกับชีวิตจริง และผู้เรียนมีวุฒิสูงขึ้นแต่กลับไม่มีโอกาสในการทำงาน
หลักสูตรบางส่วนไม่เชื่อมโยงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ทำให้ขาดแคลนทักษะที่จำเป็นในการประกอบอาชีพ
ความเหลื่อมล้ำและคุณภาพการศึกษาที่ไม่เท่าเทียม:
ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการศึกษาและคุณภาพของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กตั้งแต่ต้น
ขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุนสำหรับการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัยอย่างเพียงพอ
แรงจูงใจของนักเรียนและปัญหาสังคม:
เด็กบางคนไม่มีใจอยากพัฒนาตนเอง ไม่มีความกระตือรือร้น และขาดทักษะการพึ่งพาตนเอง
ปัญหาสุขภาพจิตของเด็กที่ได้รับผลกระทบจากกับดักยาเสพติด การพนันออนไลน์ และปัญหาครอบครัวแตกแยก
โครงสร้างและการบริหารจัดการที่ซับซ้อน:
ระบบการศึกษาถูกมองว่า "หลงทาง" มีโครงสร้างที่ซับซ้อน เปลี่ยนแปลงบ่อย และขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาจังหวัด
ขาดการบูรณาการและความร่วมมืออย่างแท้จริงระหว่างหน่วยงานการศึกษาทุกต้นสังกัด ครอบครัว และภาคเอกชน
ระบบการนิเทศ ติดตาม ประเมินผลยังอ่อนแอ และระเบียบที่มีอยู่ (เช่น การเทียบโอน) ไม่ถูกนำมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาระของครูและบุคลากรทางการศึกษา:
ครูต้องรับภาระงานเอกสารและงานอื่นนอกเหนือจากการสอนมาก ทำให้มีเวลาเตรียมการสอนน้อย และคุณภาพการสอนอาจลดลง
การประเมินผลนักเรียนไม่เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคล