กฎหมายและนโยบายที่ไม่ได้รับการขับเคลื่อนเต็มที่:
พรบ. การศึกษาและ พรบ. ธนาคารหน่วยกิตประกาศใช้แล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนไหวไปถึงไหน และถูก "กั๊ก" การดำเนินการเพราะอาจกระทบหลายฝ่าย
กฎหมายลูกบางตัวยังไม่สอดคล้องกัน ทำให้การศึกษายังไม่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อได้อย่างเต็มที่
ผู้มีอำนาจไม่ให้อำนาจเต็มที่กับศึกษาธิการจังหวัดในการดูแลการศึกษาทั้งจังหวัด
ภาระงานของครูและทัศนคติ:
ครูมีภาระงานมากจากนโยบาย กิจกรรม และเอกสาร ทำให้มีเวลาสอนนักเรียนน้อยลง
ครูบางส่วนมองว่าการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นหรือการเพิ่มหลักสูตรใหม่เป็นภาระที่เพิ่มขึ้น และต่อต้านการปรับเปลี่ยน
บางครูยังใช้การตัดสินเด็กด้วยการ "กดคะแนน"
เด็กหลุดจากระบบและขาดโอกาส:
มีเด็กที่ตกหล่นและขาดโอกาสทางการศึกษาจำนวนมากและปัญหาการส่งต่อเด็กจาก ป.6 ไป ม.1 หรือ ม.3 ไปเรียนต่อ
พบเด็กที่ไม่รู้หนังสือ (อายุ 11 ปี อยู่ ป.5 แต่ยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้) และมีพฤติกรรมต่อต้านการเรียน
ผู้ปกครองบางรายไม่ยินยอมให้เด็กเรียน ทำให้เด็กพลาดโอกาส
ยากลำบากในการติดตามและนำเด็กที่หลุดจากระบบกลับเข้ามาเรียน เพราะข้อมูลไม่ตรงหรือไม่พบตัวตน
ความเหลื่อมล้ำและข้อจำกัดของระบบ:
การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังขาดความเป็นเอกภาพ และมีข้อจำกัดด้านบุคลากร (เช่น ไม่มีศึกษานิเทศ หรือ ผอ. กองการศึกษา)
ความเหลื่อมล้ำในการจัดการศึกษาเด็กเล็ก (ศพด.) ที่กระทรวงศึกษาไม่ได้จัด แต่ท้องถิ่นจัด ทำให้เกิดการยุบรวมและสร้างความเดือดร้อน
การศึกษาในท้องถิ่นยังขาดแคลนงบประมาณเมื่อเทียบกับโรงเรียนในสังกัดอื่น
การศึกษาโดยรวมยังมีการจำกัดรูปแบบ ไม่ยืดหยุ่น และไม่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมหรือตลาดแรงงานที่ทันสมัย
ขาดหลักสูตรเชื่อมโยงระหว่างระดับมัธยมกับอาชีวะ (ทวิศึกษา) ในจังหวัด
การศึกษาไทยเน้นคุณธรรมน้อยลง
ขาดการประสานงานและการประชาสัมพันธ์:
หน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ ขาดเวทีในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสานงานกัน
ประชาชนและผู้สนใจขาดข้อมูลช่องทางทางการศึกษาที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ
การศึกษาที่ยืดหยุ่นและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน:
จัดการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่นสำหรับคนทุกช่วงวัย เข้าถึงการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่จำกัดรูปแบบหรือสถานที่
ส่งเสริมการเรียนรู้แบบออนไลน์สำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานแล้ว
มอบโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กทุกคนอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงความพร้อมและสถานะทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาศักยภาพและทักษะ:
พัฒนาศักยภาพเด็กให้เหมาะสมและเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้
จัดการศึกษาที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมและตลาดแรงงาน โดยเน้นทักษะ ประสบการณ์ และการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย
มีระบบป้องกันการหลุดออกจากระบบการศึกษาและส่งเสริมให้เด็กกลับเข้าสู่ระบบ หรือมีทางเลือกในการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น
ช่วยให้ผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วสามารถศึกษาต่อเพิ่มเติมได้
การปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม:
เน้นคุณธรรม ความสัมมาคารวะ และมารยาทในเด็ก
พัฒนาเด็กให้เป็นคนดีมีคุณภาพ
การพัฒนาระบบการศึกษา:
ลดภาระงานของครู เพื่อให้ครูมีเวลาสอนเด็กอย่างเต็มที่
ให้กฎหมายและนโยบายการศึกษาเป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน
มีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในการผลักดัน แก้ปัญหา และประสานงานด้านการศึกษาอย่างมีนวัตกรรม
ประชาสัมพันธ์ช่องทางการศึกษาที่ยืดหยุ่นให้ประชาชนรับทราบอย่างทั่วถึง
สร้างความเป็นหนึ่งเดียวในด้านการศึกษาของจังหวัด
รอยต่อในการส่งต่อเด็กนักเรียน:
เด็กที่จบ ป.6 แล้วไม่ไปต่อ ม.1 หรือจบ ม.3 แล้วไม่ไปเรียนต่อ ยังมีปัญหาเรื่องการส่งต่อ โดยมีเคสที่เด็กขาดโอกาสและไม่ได้เรียนต่อ
โรงเรียน สพป. ต้องแนะนำเด็กให้ไป กศน. หรือขอใบรับรองจากเขต เพื่อไปเรียนต่อในระบบอื่น
รอยต่อในการเชื่อมโยงหลักสูตร:
จังหวัดนครนายกยังไม่มีหลักสูตรเชื่อมโยง (ทวิศึกษา) ระหว่างระดับมัธยมกับอาชีวศึกษาอย่างเป็นทางการ มีเพียงห้องเรียนอาชีพระยะสั้นที่ไปเปิดสอนในโรงเรียนเท่านั้น
รอยต่อด้านการบริหารจัดการและการประสานงาน:
การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังขาดความเป็นเอกภาพ เนื่องจากไม่มีศึกษานิเทศและผู้อำนวยการกองการศึกษาโดยตรง
ปัญหาความเหลื่อมล้ำในการจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) ที่กระทรวงศึกษาฯ ไม่ได้จัด แต่ท้องถิ่นจัด
ขาดเวทีให้หน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานกันบ่อย ๆ
ขาดหน่วยงานกลางที่คอยผลักดัน แก้ปัญหา และประสานงานด้านการศึกษาอย่างมีนวัตกรรม
รอยต่อจากนโยบายและกฎหมายที่ไม่ชัดเจนหรือถูก "กั๊ก":
แม้จะมี พ.ร.บ. การศึกษาและ พ.ร.บ. ธนาคารหน่วยกิตประกาศใช้แล้ว แต่ยังไม่ถูกขับเคลื่อนเต็มที่ และมีปัญหาการ "กั๊ก" การดำเนินการเพราะอาจกระทบหลายฝ่าย
กฎหมายลูกบางตัวยังไม่สอดคล้องกัน ทำให้การศึกษาไม่สามารถยืดหยุ่นและไร้รอยต่อได้เต็มที่
ผู้มีอำนาจไม่ให้อำนาจเต็มที่แก่ศึกษาธิการจังหวัดในการดูแลการศึกษาทั้งจังหวัด
สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปราจีนบุรี นครนายก (สพม):
มีนโยบาย "หนึ่งโรงเรียนสามรูปแบบ" (ออนไลน์, ออนแฮนด์, ออนไซต์) ซึ่งได้ทำ MOU กับ 12 โรงเรียน (จาก 30 โรงเรียนในสังกัด) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้
ดำเนินการตามนโยบาย Zero Drop-out ติดตามเด็กกลับเข้าสู่ระบบ และจัดการเรียนให้เด็กที่อยู่ในเรือนจำ (ครูนำงานไปให้ทำในเรือนจำ)
มีการตั้งคณะกรรมการ เทียบโอนวุฒิ ในโรงเรียน และจัดสอนเสริมนอกเวลาสำหรับวิชาที่เทียบโอนไม่ได้ การวัดผลเน้นดูพัฒนาการของเด็กและให้ความยืดหยุ่นในการวัดผล
สํานักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) (เดิมคือ กศน.):
จัดการเรียนรู้ตลอดชีวิต พัฒนาตนเอง และตามลำดับ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยครูลงพื้นที่จัดกิจกรรมให้กับประชาชนทุกช่วงวัย
มีระบบ เทียบโอนความรู้ประสบการณ์ (Credit Bank) สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ทำงาน โดยผ่านการจัดทำ Portfolio, ประเมินอาชีพ, สอบ, และอบรม เพื่อรับวุฒิภายใน 1 ปี . ค่าสมัคร 3,000 บาท ใช้เวลาเรียน 6 เดือน ผู้สมัครต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไปและมีประสบการณ์ทำงาน
มีการสอบวัดความรู้ 8 กลุ่มสาระ เพื่อ เทียบวุฒิ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย สำหรับเด็กที่มีความรู้ความสามารถ สามารถลดระยะเวลาเรียนได้
ร่วมมือกับสภากาชาดในการสอนผู้ไม่รู้หนังสือ และทำ MOU กับศาลเยาวชนเพื่อจัดการศึกษาให้เด็กที่ถูกดำเนินคดี
วิทยาลัยเทคนิคนครนายก (อาชีวศึกษา):
มี "ธนาคารหน่วยกิต" ที่เปิดให้ทั้งผู้เรียนและประชาชนนำผลลัพธ์ทางการเรียนรู้มาเทียบโอนเป็นรายวิชา (01:13:40).
จัด "ห้องเรียนอาชีพ" ระยะสั้น (35, 50, 75, 150 ชั่วโมง) ในโรงเรียนต่างๆ และสอนวิชาชีพในเรือนจำ
จัดการศึกษาแบบ ทวิภาคี สำหรับระดับ ปวส. โดยเด็กออกไปฝึกงาน 1 ปีในสถานประกอบการ ซึ่งเพิ่มโอกาสในการได้งานทำสูง (01:16:51).
มีหลักสูตร ปริญญาตรี สำหรับผู้ที่มีงานทำ 100% โดยเชื่อมโยงกับสถานประกอบการ (02:04:31, 02:04:50).
โรงเรียนเทศบาลหนึ่ง วัดศรีเมือง (สังกัด อปท.):
เคยเปิด หลักสูตรเปตองสู่ความเป็นเลิศ ช่วยเด็กด้อยโอกาสให้ได้แชมป์และมีโอกาสทางการศึกษาต่อ (เมื่ออยู่ที่เทศบาลเมืองสิงห์บุรี)
กำลังพัฒนา โครงการหลักสูตร AI สำหรับเด็ก ม.1-3 เพื่อเชื่อมโยงกับการสอบเทียบกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
ศูนย์การเรียนอันฟันโซมาเลีย (เอกชน):
จัดการศึกษาแบบ ออนไลน์ ให้กับเด็กในสถานพินิจ โดยทำ MOU กับกระทรวงยุติธรรม
เน้นการส่งเสริมเรื่อง อาชีพ และออกวุฒิการศึกษาที่เทียบเท่ากับระบบปกติ
หน่วยงานภาครัฐ (ศึกษาธิการจังหวัด, สพม, สพป, สกร, อาชีวศึกษา, อปท.):
เห็นด้วย กับการศึกษาที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ ลดภาระครู และส่งเสริมคุณธรรม
เน้น การขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมายที่มีอยู่แล้วให้เต็มที่ (เช่น Credit Bank) การแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบ (Zero Drop-out)การเทียบโอนความรู้ประสบการณ์ และการเชื่อมโยงการศึกษากับอาชีพ
ความท้าทายที่พบ: การ "กั๊ก" การบังคับใช้นโยบาย, ภาระงานครูและทัศนคติที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ยังไม่สอดคล้องกัน (02:20:17) และปัญหาการส่งต่อเด็กในระบบ
ภาคเอกชน (อุตสาหกรรมจังหวัด):
เห็นด้วย กับการศึกษาที่ยืดหยุ่น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ทำงานแล้วแต่ต้องการศึกษาต่อ
เน้น รูปแบบ แพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ตอบโจทย์คนทำงานที่มีเวลาน้อย และการ ประชาสัมพันธ์ ช่องทางเหล่านี้ให้ทั่วถึงผู้ประกอบการและแรงงาน
ภาคประชาสังคม (บ้านพลเอกและครอบครัว):
เห็นด้วย กับการศึกษาที่ยืดหยุ่น เน้นการเรียนรู้นอกระบบและการค้นหาตนเอง
เน้น การพัฒนาด้าน จิตอาสา ทักษะ และคุณธรรม จริยธรรม (สัมมาคารวะ มารยาท) แก่เด็กและเยาวชน
ให้ความสำคัญ กับ ความร่วมมือภาคีเครือข่าย เพื่อส่งเสริมการศึกษาและแก้ไขปัญหาต่างๆ
เด็กและเยาวชน (ไทเกอร์):
เห็นด้วย กับความยืดหยุ่น เพราะช่วยเด็กที่ยังไม่พร้อมหรือมีข้อจำกัดด้านฐานะ ให้เข้าถึงโอกาสได้ง่ายขึ้น
เน้น การเรียนรู้ที่ให้ "ประสบการณ์" และ "ทักษะ" ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในการประกอบอาชีพ
มองว่าการค้นหาตัวตนและเตรียมทักษะควรเริ่มตั้งแต่ระดับ ม.ปลาย เพื่อเลือกสายอาชีพที่เหมาะสม
สรุปความแตกต่าง: แม้ทุกฝ่ายจะต้องการให้การศึกษามีความยืดหยุ่น แต่ภาครัฐมักเน้นการจัดการระบบและนโยบาย, ภาคเอกชนเน้นการตอบโจทย์ตลาดแรงงานและการเข้าถึงผ่านออนไลน์, ภาคประชาสังคมเน้นการพัฒนาคุณธรรมและทักษะชีวิตนอกระบบ และเยาวชนเน้นทักษะประสบการณ์จริงเพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต
หอการค้า
ความเห็น: การจัดการศึกษาควรเป็นไปตามแนวคิด "ธนาคารหน่วยกิต (Credit Bank)" ทั้ง 5 รูปแบบ ซึ่งหากดำเนินการเต็มที่ จะช่วยเพิ่มโอกาสทางการเรียนรู้ และทำให้รูปแบบการศึกษาเปลี่ยนไป ผู้คนสามารถเก็บหน่วยกิตจากประสบการณ์ทำงานมาเทียบวุฒิได้ เพื่อให้คนในประเทศมีความสุขโดยไม่จำกัดสิทธิ์ของเขา
สถานะและความท้าทาย: ธนาคารหน่วยกิตได้ประกาศใช้ในปี 2567 และหน่วยงานทดสอบรองรับแล้ว แต่ยังไม่เคลื่อนไหวเต็มที่และถูก "กั๊ก" การดำเนินการเพราะอาจกระทบกับเงินในระบบการศึกษาปกติ (เอกชน, มัธยม, อาชีวะ)ท่านเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจปฏิบัติตามนโยบายและผลักดันให้เต็มที่
สํานักงานส่งเสริมการเรียนรู้
ความเห็น: อยากให้มีการศึกษาที่ "ยืดหยุ่น" เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนให้เข้ากับคนทุกช่วงวัย ผู้เรียนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะรูปแบบ วิธีการ หรือสถานที่ และเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
การดําเนินการที่เป็นรูปธรรม:
การเทียบโอนความรู้ประสบการณ์: สกร. มีการจัดให้ผู้ที่มีประสบการณ์ทำงานสามารถนำมาเทียบโอนเป็นรายวิชาได้ ผ่านการทำ Portfolio, ประเมินอาชีพ, สอบ, และอบรม ผู้ที่ผ่านจะได้รับวุฒิภายใน 1 ปี แทนที่จะเรียน 2 ปี โดยมีค่าสมัคร 3,000 บาท และใช้เวลาเรียน 6 เดือน ผู้สมัครต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีประสบการณ์ทำงาน
การเทียบวุฒิ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย: ผู้ที่ต้องการเทียบวุฒิ ม.ต้น หรือ ม.ปลาย สามารถนำวุฒิระดับประถม (หรือ ม.ต้น) ไปสอบวัดความรู้ 8 กลุ่มสาระได้ ซึ่งหากผ่านจะได้รับวุฒิรับรอง ทำให้เด็กที่มีความรู้สามารถลดเวลาเรียนได้
สถานะและความท้าทาย: แม้ สกร. จะมีรูปแบบการเทียบโอน 100% แล้ว แต่ยังไม่กล้าประกาศอย่างเป็นทางการ เพราะอาจมีผู้สมัครจำนวนมาก
สพม. ปราจีนบุรี นครนายก):
ความเห็น: การจัดการศึกษาต้องมองที่ตัวเด็กให้มากที่สุด เห็นถึงความหลากหลายของเด็ก และจัดการศึกษาให้เข้ากับเด็กในยุคปัจจุบัน เพื่อให้เด็กสามารถมีชีวิตต่อไปในอนาคตได้พร้อมย้ำนโยบาย "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"
การดําเนินการที่เป็นรูปธรรม:
"หนึ่งโรงเรียนสามรูปแบบ": เขตพื้นที่ฯ มีนโยบายการศึกษายืดหยุ่น "หนึ่งโรงเรียนสามรูปแบบ" (ออนไลน์, ออนแฮนด์, ออนไซต์) ซึ่งได้ทำ MOU กับ 12 โรงเรียน (จาก 30 แห่งในสังกัด) เพื่อขับเคลื่อนเรื่องนี้
การเทียบโอนวุฒิ: มีการตั้งคณะกรรมการเทียบโอนวุฒิในโรงเรียน และจัดสอนเสริมนอกเวลาสำหรับวิชาที่เทียบไม่ได้ เพื่อให้เด็กมีคะแนนครบตามเกณฑ์
Zero Drop-out: ดำเนินการตามนโยบาย Zero Drop-out ติดตามเด็กกลับเข้าสู่ระบบ และจัดการเรียนให้เด็กที่อยู่ในเรือนจำ โดยครูนำงานไปให้ทำในเรือนจำ
ประเด็นท้าทายของการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อของจังหวัดนครนายก มีดังนี้:
ปัญหาด้านกฎหมายและนโยบาย:
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง (เช่น พ.ร.บ. ธนาคารหน่วยกิต) แม้จะประกาศใช้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับการขับเคลื่อนหรือบังคับใช้อย่างเต็มที่ เนื่องจากอาจกระทบกับหลายฝ่ายและมีกฎหมายลูกบางตัวยังไม่สอดคล้องกัน
ขาดการมอบอำนาจเต็มที่ให้กับหน่วยงานระดับจังหวัดในการดูแลการศึกษาทั้งหมด
ความท้าทายจากบุคลากรครู:
ครูมีภาระงานมากจากนโยบายและเอกสาร ทำให้มีเวลาสอนนักเรียนน้อยลง
ทัศนคติของครูบางส่วนที่มองว่าการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นหรือหลักสูตรเพิ่มเติมเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น ทำให้ยากต่อการปรับเปลี่ยนความคิด
ปัญหาการให้เกรดและการวัดผลที่อาจไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ หรือการ "กดคะแนน" เด็ก
การจัดการเด็กด้อยโอกาสและเด็กหลุดจากระบบ:
มีเด็กที่ตกหล่น ขาดโอกาสทางการศึกษา หรือไม่รู้หนังสือจำนวนมาก
ปัญหาในการส่งต่อเด็กนักเรียนระหว่างระดับการศึกษา (เช่น จากประถมสู่มัธยม หรือมัธยมต้นสู่มัธยมปลาย)
ความยากลำบากในการติดตามและนำเด็กที่หลุดออกจากระบบกลับเข้ามาเรียน เนื่องจากข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่พบตัวตน
การจัดการกับเด็กที่มีพฤติกรรมต่อต้านการเรียนหรือขาดการสนับสนุนจากผู้ปกครอง
รอยต่อและข้อจำกัดของระบบ:
ขาดหลักสูตรเชื่อมโยงที่ชัดเจน (เช่น ทวิศึกษา) ระหว่างการศึกษาระดับมัธยมและอาชีวศึกษา
การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังขาดความเป็นเอกภาพ บุคลากร (เช่น ศึกษานิเทศ ผอ. กองการศึกษา) และงบประมาณ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการจัดบริการ
ขาดโอกาสที่เพียงพอสำหรับผู้ใหญ่ที่ทำงานแล้วในการศึกษาต่อเพิ่มเติม เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา
การประสานงานและการประชาสัมพันธ์:
ขาดการประสานงานและเวทีแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ในจังหวัด
ประชาชนและผู้สนใจยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางการศึกษาที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อ
ขาดหน่วยงานกลางที่คอยผลักดัน แก้ไขปัญหา และประสาน