สภาพและปัญหาปัจจุบัน:
การจัดการศึกษาในจังหวัดปราจีนบุรีเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ผู้เข้าร่วมประชุมจากหลากหลายภาคส่วนได้แสดงความกังวลและเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นหลักดังต่อไปนี้:
คุณภาพการศึกษาโดยรวมยังต่ำ: ผู้ทรงคุณวุฒิชี้ว่าการศึกษาไทยยังอยู่ในอันดับ 3 จากท้ายในอาเซียน สะท้อนถึงคุณภาพที่ยังต้องพัฒนา และยังไม่สามารถผลักดันศักยภาพสูงสุดของเด็กไทยได้เต็มที่
ความไม่สอดคล้องกับชีวิตจริงและการทำงาน:
การจัดการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนและชีวิตจริง ขาดการพัฒนาทักษะชีวิตและอาชีพที่จำเป็น
เด็กจำนวนมากไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ความถนัด หรือเป้าหมายในชีวิตหลังเรียนจบ
เด็กที่จบสายสามัญอาจเก่งในห้องเรียน แต่ขาดทักษะชีวิตและทักษะในการเอาตัวรอด ขณะที่ผู้ปกครองบางรายยังยึดติดกับการเรียนสายสามัญ และฝากความรับผิดชอบการดูแลบุตรหลานให้โรงเรียนมากเกินไป
เด็กนอกระบบและเสี่ยงหลุดจากระบบสูง:
มีเด็กจำนวนมากที่หลุดจากระบบหรือเสี่ยงหลุด โดยมีสาเหตุจากความยากจนเป็นพิเศษ, ปัญหาพฤติกรรม, และขาดความใฝ่รู้ (มีการอ้างถึงข้อมูลว่าเด็ก 3-18 ปี กว่า 1 ล้านคนอยู่นอกระบบ และ 1.5 ล้านคนเสี่ยงหลุด)
บางรายแม้จบการศึกษาภาคบังคับหรือมัธยมปลายแล้วก็ยังหางานทำไม่ได้ หรือไม่รู้แม้กระทั่งพ่อแม่ประกอบอาชีพอะไร
พบปัญหาแม้กระทั่งทหารเกณฑ์ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ สะท้อนถึงการเข้าไม่ถึงการศึกษาพื้นฐาน
อุปสรรคต่อการจัดการศึกษารูปแบบยืดหยุ่นไร้รอยต่อ:
บางสาขาวิชาชีพเฉพาะ (เช่น วิศวกรรม, แพทย์, ครู) มีข้อจำกัดจากองค์กรวิชาชีพ ทำให้จัดการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นทำได้ยาก
ขาดแคลนงบประมาณสนับสนุนการกู้ยืมเพื่อการศึกษา
สถานประกอบการไม่รับนักศึกษาที่ฝึกงานเข้าทำงานจริง ทำให้เกิดปัญหาสภาวะการเชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน
ปัญหาด้านบุคลากรทางการศึกษา: ครูและบุคลากรต้องพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันต่อองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การประชาสัมพันธ์และการรู้เท่าทันสื่อ: การประชาสัมพันธ์โอกาสทางการศึกษายังไม่ทั่วถึง และเด็กขาดทักษะการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ซึ่งนำไปสู่การถูกหลอกลวง
ยกระดับคุณภาพและสร้างความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง:
ต้องการยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยรวม โดยเฉพาะการผลักดันศักยภาพสูงสุดของเด็กไทยให้เกิดขึ้นจริง
จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับชีวิตจริง ความต้องการของผู้เรียน และการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน รวมถึงเทคโนโลยี (AI)
เน้นการพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะในการเอาตัวรอด และทักษะอาชีพที่จำเป็นในการประกอบอาชีพและดำรงชีวิต
ส่งเสริมให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น แก้ปัญหาเป็น และรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล
สร้างความยืดหยุ่นและไร้รอยต่อในการเรียนรู้:
ต้องการการศึกษาที่ยืดหยุ่น ไร้รอยต่อ ตั้งแต่ระดับประถม มัธยม อาชีวะ จนถึงอุดมศึกษา เพื่อให้เด็กมีเส้นทางที่หลากหลาย
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ ถนัด และมีเป้าหมายที่ชัดเจน
มีการจัดการเรียนการสอนที่ยืดหยุ่น ทั้งในด้านหลักสูตร วิธีการวัดผล เวลาเรียน และสถานที่ (เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา)
สนับสนุนการเชื่อมโยงการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย รวมถึงการสะสมหน่วยกิตและการเทียบโอน
ลดความเหลื่อมล้ำและดูแลกลุ่มเปราะบาง:
ต้องการนำเด็กที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบกลับเข้ามาสู่การเรียนรู้
ให้โอกาสทางการศึกษาแก่กลุ่มผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ต้องขัง และทหารเกณฑ์ที่ขาดโอกาส
สร้างระบบที่จะช่วยเหลือเด็กที่มีความยากจนพิเศษให้เข้าถึงการศึกษาได้อย่างทั่วถึง
ส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ:
ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมและหอการค้าเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการศึกษาในจังหวัด (เช่น CSR, การฝึกงาน)
สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานการศึกษาทุกระดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชน เพื่อจัดการศึกษาเชิงพื้นที่
สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครูสามารถเป็นผู้บริหารจัดการการเรียนรู้ที่ทันสมัย
สร้างความเข้มแข็งจากภายในและสร้างงาน:
อยากให้เด็กจบแล้วมีงานทำ มีอาชีพติดตัว ลดการเคลื่อนย้ายแรงงาน และทำให้คนปราจีนบุรีได้ทำงานในท้องถิ่น
ส่งเสริมการพัฒนาทักษะที่นำไปสู่การเป็นผู้ประกอบการหรือสร้างนวัตกรรม
ต้องการให้ผู้ปกครองเข้าใจบทบาทของตนเองในการส่งเสริมการเรียนรู้ และสนับสนุนความสนใจของบุตรหลาน
รอยต่อระหว่างระบบการศึกษาต่างระดับ:
ผู้เข้าร่วมระบุว่ามีรอยต่อตั้งแต่ระดับประถม มัธยม ไปจนถึงอุดมศึกษา ทำให้การเรียนรู้ไม่ต่อเนื่อง ("เรียนระดับช่องชั้นและมีที่เรียนตลอดแนว" และ "ตั้งแต่ประถมไปจนกระทั่งถึงอุดม อันนี้ก็คือรอยต่อของระบบรอยต่อของระบบการศึกษา"
ความยากลำบากในการเปลี่ยนผ่านระหว่างสายสามัญและสายอาชีพ รวมถึงการต่อยอดจากอาชีวะสู่อุดมศึกษา
รอยต่อระหว่างการศึกษากับชีวิตจริงและการทำงาน:
การศึกษาไม่สอดคล้องกับชีวิตจริงและทักษะที่จำเป็นในการเอาตัวรอดหรือประกอบอาชีพในสถานการณ์ปัจจุบัน ("เรียนให้สอดคล้องกับชีวิตจริงมากที่สุด" "เน้นเรื่องทักษะนําไปใช้จริง" "learn to earn ทํายังไงให้เด็กสามารถเรียนไปด้วย มีอาชีพประกอบไปด้วย"
เด็กจำนวนมากไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ความถนัด หรือเป้าหมายในชีวิตหลังเรียนจบ ส่งผลให้เกิด "รอยต่อในความรู้สึกในชีวิตในตัวตนของเด็กคนคนนึง"
รอยต่อสำหรับกลุ่มเด็กนอกระบบและกลุ่มเปราะบาง:
มีเด็กจำนวนมากที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบ รวมถึงเด็กพิการ ผู้ด้อยโอกาส ผู้ต้องขัง และทหารเกณฑ์ที่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ซึ่งขาดโอกาสและทางเลือกในการเข้าถึงการศึกษาที่เหมาะสม
รอยต่อด้านทัศนคติของผู้ปกครอง:
ผู้ปกครองบางส่วนยังคงยึดติดกับการเรียนสายสามัญ และฝากความรับผิดชอบในการดูแลและพัฒนาทักษะชีวิตของบุตรหลานให้โรงเรียนมากเกินไป
รอยต่อจากข้อจำกัดทางวิชาชีพ:
บางสาขาวิชาชีพเฉพาะ เช่น วิศวกรรม แพทย์ หรือครู มีองค์กรวิชาชีพควบคุมหลักสูตรและมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ทำให้การจัดการศึกษาแบบ "ยืดหยุ่นไร้รอยต่อ" เป็นไปได้ยาก
อย่างไรก็ตาม มีความพยายามในการเชื่อมโยงรอยต่อเหล่านี้ผ่านโครงการต่างๆ เช่น "หนึ่งโรงเรียน 3 รูปแบบ" เพื่อดึงเด็กนอกระบบกลับเข้ามา , การจัดการศึกษาสำหรับผู้พิการที่เน้นการมีที่เรียนต่อเนื่องจนมีงานทำ , หลักสูตร "Work-integrated learning (WiL)" ของ มจพ. และความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม , และบทบาทของ สกร. ในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่กลุ่มผู้ด้อยโอกาส
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปราจีนบุรี (สกร.):
วิธีดำเนินการ: ให้โอกาสทางการศึกษาแก่กลุ่มเป้าหมายนอกระบบและกลุ่มเปราะบาง (ทหารกองประจำการ, ผู้ต้องขัง, ผู้พิการ, เด็กที่ขาดโอกาส) โดยใช้หลักการ "Anywhere Anytime" คือ เรียนที่ไหน เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา มีครูศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน และเน้นการสอนทักษะการดำรงชีวิตและอาชีพ มีการส่งต่อผู้เรียนไปฝึกฝีมือแรงงาน และมีการเทียบระดับการศึกษาเพื่อเรียนต่อ มสธ. หรือ ม.รามคำแหง
โรงเรียนมณีเสเวทย์อุปถัมภ์ (ในสังกัด สพม. ปราจีนบุรี นครนายก):
วิธีดำเนินการ: ใช้รูปแบบ "หนึ่งโรงเรียน 3 รูปแบบ"
ในระบบ: สำหรับเด็กที่มาเรียนตามปกติ
กึ่งระบบ: สำหรับเด็กที่มาเรียนบ้างไม่มาเรียนบ้าง จัดการเรียนรู้แบบ "นำการเรียนไปให้น้อง" ทั้งออนไลน์, On-demand หรือใบงาน
ดูแลเป็นพิเศษ: ให้ความดูแลต่อเนื่องสำหรับเด็กที่ประสบปัญหา เช่น เด็กที่ถูกตัดสินจำคุก โดยนำการเรียนไปให้จนจบการศึกษา
เป้าหมาย: "Zero Dropout" (ไม่มีเด็กหลุดออกจากระบบ) และกำลังต่อยอดไปที่ "ธนาคารหน่วยกิต"
โรงเรียนในสังกัด สพป. ปราจีนบุรี เขต 1:
วิธีดำเนินการ: ดำเนินการตามแนวทาง "หนึ่งโรงเรียน 3 รูปแบบ" โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการ ศึกษาแนวทางการดำเนินงาน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ (เช่น ภาระดูแลครอบครัว, ต้องประกอบอาชีพ) และจัดทำหลักสูตร กิจกรรม และการวัดผลที่ยืดหยุ่น (เช่น จัดทำหลักสูตรร้านกาแฟ, เรียนออนไลน์, ใบงาน) เพื่อนำเด็กที่อยู่นอกระบบหรือเสี่ยงหลุดกลับเข้าสู่การศึกษา
วิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี:
วิธีดำเนินการ:
จัดการศึกษาแบบ "ทวิภาคี" โดยให้นักเรียนนักศึกษาอยู่ในสถานประกอบการ 1 ปีเต็ม และเรียนที่สถานศึกษา 1 ปีเต็ม รวมถึงการสอนในเรือนจำและผู้ฟื้นฟูยาเสพติด
กำลังวางแผนจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่น เช่น เรียนที่บ้านแบบออนไลน์ สำหรับนักเรียนที่ไม่อยู่ในระบบ
มีหลักสูตรที่เชื่อมโยงให้นักศึกษา ปวส. สามารถโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ มจพ. ได้
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) วิทยาเขตปราจีนบุรี:
วิธีดำเนินการ:
การเทียบโอนหน่วยกิต: รับผู้จบ ม.6 และ ปวช. และมีแผนเทียบโอนสำหรับผู้จบ ปวส. ให้สามารถเรียนต่อปริญญาตรีได้ภายใน 2-2.5 ปี
Work-integrated learning (WiL): รับพนักงานจากโรงงานมาเรียนปริญญาตรีในช่วงเย็นและวันหยุด โดยให้พักในหอพักของมหาวิทยาลัย (ปัจจุบันมีรุ่นแรก 20 คนจากโรงงานผลิตแผงวงจรรวม)
หลักสูตร "เตรียมนักนวัตกรรม" (เริ่มปี 2569): รับนักเรียน ม.3 เข้ามาเรียน 3 ปี เน้นทักษะช่าง (เครื่องกล, ไฟฟ้า, โลจิสติกส์, สมุนไพรและความงาม) ตามด้วยการฝึกงาน/ทำงานในโรงงาน 2 ปี พร้อมพันธะสัญญาการจ้างงาน โดยผู้เรียนจะได้รับวุฒิอนุปริญญา และสามารถเรียนต่อปริญญาตรีได้โดยไม่ต้องสอบเข้าหลังจากทำงานครบ 2 ปี
โดยรวมแล้ว จังหวัดปราจีนบุรีมีความพยายามอย่างยิ่งในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น ไร้รอยต่อ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการศึกษา ลดเด็กนอกระบบ และเตรียมคนให้มีทักษะพร้อมสำหรับการทำงานในท้องถิ่น
จากการประชุม หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ทรงคุณวุฒิ มีความเห็นและมุมมองเกี่ยวกับการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อที่ สอดคล้องกันในเป้าหมายแต่มีจุดเน้นและความกังวลที่แตกต่างกัน ดังนี้:
ความสอดคล้อง (เป้าหมายร่วมกัน):
เน้นทักษะชีวิตและอาชีพ: ทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าการศึกษาต้องสอนทักษะที่นำไปใช้ได้จริง ทักษะชีวิต การเอาตัวรอด และทักษะอาชีพ เพื่อให้ผู้เรียนมีงานทำและสามารถเลี้ยงดูตนเองได้
ความยืดหยุ่นและการเข้าถึง: ต้องการให้การศึกษาเปิดกว้าง เรียนได้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ไม่ยึดติดรูปแบบ ลดเด็กนอกระบบ และให้โอกาสกลุ่มเปราะบาง
ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน: ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ถนัด และมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ยึดติดกับวุฒิการศึกษามากเกินไป
รู้เท่าทันเทคโนโลยีและสื่อ: เห็นความสำคัญของการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและภัยไซเบอร์
ความแตกต่างและจุดเน้นที่แตกต่างกัน:
หน่วยงานภาครัฐ
เน้นการสร้างระบบและกลไก: มีความพยายามสร้างรูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่น เช่น "หนึ่งโรงเรียน 3 รูปแบบ" (สพม., สพป.), หลักสูตร WiL (มจพ.), การเรียนรู้ตลอดชีวิตของ สกร.
ข้อจำกัดของบางวิชาชีพ: ชี้ว่าการศึกษาแบบยืดหยุ่นไร้รอยต่อเป็นไปไม่ได้สำหรับบางสาขาวิชาชีพที่มีองค์กรวิชาชีพควบคุมอย่างเคร่งครัด (เช่น วิศวกรรม แพทย์ ครู) ซึ่งแตกต่างจากภาพรวมที่ต้องการความยืดหยุ่น
ความต่อเนื่องของนโยบาย: รองศึกษาธิการจังหวัดและผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาเน้นว่านโยบายจากส่วนกลางควรมีความต่อเนื่อง ไม่ใช่เปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนผู้บริหาร
การพัฒนาครู: เน้นย้ำการพัฒนาบุคลากรครูให้ทันสมัย
ภาคเอกชน (หอการค้า):
เน้นความต้องการแรงงาน: ชี้ชัดเจนว่าภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะสูงมาก โดยเฉพาะในปราจีนบุรีที่มีโรงงานเทคโนโลยีเข้ามาลงทุน และเห็นว่าสายวิชาชีพยังขาดแคลน
คุณธรรมและความอดทน: ให้ความสำคัญกับคุณธรรม ทักษะการดำรงชีวิต และความอดทนของผู้เรียน เพื่อให้พร้อมรับมือกับโลกและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป
การประชาสัมพันธ์: เห็นว่าจังหวัดยังอ่อนเรื่องการประชาสัมพันธ์สิ่งดีๆ รวมถึงโอกาสทางการศึกษา ทำให้คนในพื้นที่พลาดโอกาส
บทบาทผู้ปกครอง: เน้นว่าผู้ปกครองต้องเปลี่ยนทัศนคติ ไม่ควรฝากการดูแลลูกให้ครูทั้งหมด และควรให้ลูกเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบ
ประชาสังคม/ผู้ทรงคุณวุฒิ
คุณภาพการศึกษา: แสดงความกังวลต่อคุณภาพการศึกษาไทยที่ยังอยู่ในอันดับต่ำของอาเซียน และต้องการให้การศึกษามีคุณภาพมากขึ้น
เด็กและเยาวชน (มุมมองที่ถูกกล่าวถึง): แม้ไม่มีผู้แทนโดยตรง แต่มีการกล่าวถึงปัญหาของเด็ก เช่น เด็กนอกระบบ ความยากจน ขาดความใฝ่รู้ ปัญหาพฤติกรรม ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้ความถนัด รวมถึงความเปราะบางต่อสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ทุกภาคส่วนต้องการแก้ไขและให้โอกาส
สรุปคือ ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการปรับปรุงการศึกษาให้ยืดหยุ่นและตอบโจทย์อนาคต แต่มีจุดเน้นที่ต่างกันออกไปตามบทบาทและบริบทของตนเอง โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น การจัดการกับข้อจำกัดของบางวิชาชีพ การปรับทัศนคติผู้ปกครอง และความจำเป็นในการสร้างระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เกื้อหนุนอย่างแท้จริง
จากการประชุม มีบุคคลและหน่วยงานหลายแห่งที่มีความเห็นต่อการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่ออย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม โดยมีการนำเสนอแนวทางและวิธีการดำเนินการดังนี้:
(ผู้อำนวยการโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบุรี)
ความเห็น: การจัดการศึกษาสำหรับคนพิการต้องมี "ระบบเชื่อมต่อ" เพื่อให้ลูกหลานมีที่เรียนต่อเนื่องและมีงานทำโดยไม่ถูกทอดทิ้ง
วิธีการที่เป็นรูปธรรม:
จัดทำ "แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล" เพื่อวางแผนชีวิตให้เด็กแต่ละคนตั้งแต่ ม.4-ม.6
เชื่อมต่อการศึกษา: พาไปดูมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน ติวเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อให้มีที่เรียนในระดับอุดมศึกษา
เชื่อมต่ออาชีพ: สำหรับเด็กที่เรียนต่อไม่ได้ จะฝึกอาชีพแบบ "หนึ่งคนหนึ่งอาชีพ" โดยพิจารณาจากบริบทที่บ้าน (เช่น ชำต้นไม้, จดบัญชี, ขายก๋วยเตี๋ยว, ซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า) และประสานงานกับโรงงานอุตสาหกรรมเพื่อส่งไปฝึกงานและรับเข้าทำงาน
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดปราจีนบุรี - สกร.)
ความเห็น: ให้โอกาสทางการศึกษาแก่กลุ่มเป้าหมายนอกระบบและกลุ่มเปราะบาง โดยใช้หลักการ "Anywhere Anytime" คือเรียนที่ไหน เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา
วิธีการที่เป็นรูปธรรม:
มี "ครูศูนย์การเรียนรู้ในชุมชน" และ "ศูนย์การเรียนรู้ระดับตำบล" ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
เน้นการสอนทักษะการดำรงชีวิตและอาชีพ
มีการส่งต่อผู้เรียนไปฝึกฝีมือแรงงานเพื่อรับรอง
มีการเทียบระดับการศึกษาเพื่อเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น (เช่น มสธ., ม.รามคำแหง)
รองผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคปราจีนบุรี
ความเห็น: การศึกษาควรยืดหยุ่น เข้าถึงได้ตั้งแต่เด็กและทุกช่วงวัย จนกระทั่งเป็นตลาดแรงงาน
วิธีการที่เป็นรูปธรรม:
จัดการศึกษาแบบ "ทวิภาคี" โดยนักเรียนอยู่ในสถานประกอบการ 1 ปีเต็ม และเรียนที่สถานศึกษา 1 ปีเต็ม รวมถึงการสอนในเรือนจำและผู้ฟื้นฟูยาเสพติด
วางแผนจัดการเรียนการสอนแบบยืดหยุ่น เช่น เรียนที่บ้านแบบออนไลน์ สำหรับนักเรียนที่ไม่อยู่ในระบบ
มีหลักสูตรที่เชื่อมโยงให้นักศึกษา ปวส. สามารถโอนหน่วยกิตไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีที่ มจพ. ได้
รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ วิทยาเขตปราจีนบุรี
ความเห็น: ผู้เรียนควรได้เรียนในสิ่งที่ตนเองต้องการและต้องเรียนให้สำเร็จและนำไปปฏิบัติได้จริง และยอมรับว่าบางสาขาวิชาชีพมีข้อจำกัดด้านความยืดหยุ่น
วิธีการที่เป็นรูปธรรม:
การเทียบโอนหน่วยกิต: รับผู้จบ ม.6 และ ปวช. และมีแผนเทียบโอนสำหรับผู้จบ ปวส. ให้สามารถเรียนต่อปริญญาตรีได้ภายใน 2-2.5 ปี
Work-integrated learning (WiL): รับพนักงานจากโรงงานมาเรียนปริญญาตรีในช่วงเย็นและวันหยุด (รุ่นแรก 20 คนจากโรงงานผลิตแผงวงจร)
หลักสูตร "เตรียมนักนวัตกรรม" (เริ่มปี 2569): รับนักเรียน ม.3 เข้ามาเรียน 3 ปี เน้นทักษะช่าง (เครื่องกล, ไฟฟ้า, โลจิสติกส์, สมุนไพร) ตามด้วยการฝึกงาน/ทำงานในโรงงาน 2 ปี พร้อมสัญญาจ้างงาน โดยผู้เรียนได้รับวุฒิอนุปริญญา และสามารถเรียนต่อปริญญาตรีได้โดยไม่ต้องสอบเข้าหลังจากทำงานครบ 2 ปี
สพม. ปราจีนบุรี นครนายก และสพป. ปราจีนบุรี เขต 1
ความเห็น: ต้องการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นเพื่อตอบโจทย์อนาคตของเด็กไทย สร้างพลเมืองที่ดีมีคุณภาพ และเพื่อนำเด็กที่หลุดหรือเสี่ยงหลุดออกจากระบบกลับเข้ามา
วิธีการที่เป็นรูปธรรม (ร่วมกันขับเคลื่อน):
ใช้รูปแบบ "หนึ่งโรงเรียน 3 รูปแบบ"
ในระบบ: สำหรับเด็กที่มาเรียนตามปกติ
กึ่งระบบ: สำหรับเด็กที่มาเรียนบ้างไม่มาเรียนบ้าง จัดการเรียนรู้แบบ "นำการเรียนไปให้น้อง" ทั้งออนไลน์, On-demand หรือใบงาน
ดูแลเป็นพิเศษ: ดูแลนักเรียนที่มีปัญหา เช่น เด็กที่ถูกตัดสินจำคุก โดยนำการเรียนไปให้จนจบการศึกษา
มีการแต่งตั้งคณะกรรมการ ศึกษาแนวทางการดำเนินงาน ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเด็กเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ และจัดทำหลักสูตร กิจกรรม และการวัดผลที่ยืดหยุ่น
มีการศึกษาและต่อยอดไปที่ "ธนาคารหน่วยกิต"
บุคคลและหน่วยงานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความพยายามและความหลากหลายในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นความยืดหยุ่น การเข้าถึง และการเชื่อมโยงสู่ชีวิตจริงและการประกอบอาชีพในจังหวัดปราจีนบุรี.
ความไม่สอดคล้องกับการทำงานและชีวิตจริง: การศึกษาปัจจุบันยังไม่เน้นทักษะชีวิต ทักษะการเอาตัวรอด และทักษะอาชีพที่จำเป็น ทำให้เด็กไม่รู้จักตนเอง ขาดเป้าหมาย และไม่สามารถหางานทำได้จริงหลังเรียนจบ
ปัญหาเด็กนอกระบบและหลุดจากระบบ: มีเด็กจำนวนมากที่อยู่นอกระบบการศึกษา หรือเสี่ยงที่จะหลุดจากระบบเนื่องจากความยากจนพิเศษ ปัญหาพฤติกรรม หรือขาดความใฝ่รู้
ทัศนคติของผู้ปกครอง: ผู้ปกครองบางส่วนยังยึดติดกับการเรียนสายสามัญ และฝากความรับผิดชอบในการพัฒนาทักษะชีวิตของบุตรหลานให้โรงเรียนมากเกินไป ทำให้เด็กขาดการสนับสนุนในสิ่งที่ถนัด
ข้อจำกัดเชิงโครงสร้างและกฎระเบียบ:
บางสาขาวิชาชีพ (เช่น วิศวกรรม แพทย์ ครู) มีองค์กรวิชาชีพควบคุมหลักสูตรและมาตรฐานอย่างเคร่งครัด ทำให้การจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นทำได้ยาก
นโยบายจากส่วนกลางขาดความต่อเนื่อง ทำให้การขับเคลื่อนโครงการต่างๆ ไม่ยั่งยืน
งบประมาณสนับสนุน เช่น กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา ถูกปรับลด ทำให้เด็กขาดโอกาส
ปัญหาด้านผู้เรียนและทักษะที่ขาดไป: เด็กยุคใหม่หลายคนขาดความมุ่งมั่น ความรับผิดชอบ ความอดทน และขาดทักษะในการรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล ทำให้เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวง
การพัฒนาบุคลากรและการประชาสัมพันธ์: ครูและบุคลากรต้องพัฒนาตนเองให้ทันต่อเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว และขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดีทำให้คนในพื้นที่ไม่ทราบถึงโอกาสทางการศึกษาและโครงการดีๆ ที่มีอยู่
การเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม: ยังมีปัญหาการไม่รับนักศึกษาที่ผ่านการฝึกงานเข้าทำงานจริง และความร่วมมือกับสถานประกอบการในบางโครงการขาดความต่อเนื่องundefined