จากการสนทนาในที่ประชุม สภาพปัจจุบันและปัญหาของการจัดการศึกษาในจังหวัดฉะเชิงเทรามีดังนี้:
คุณภาพการศึกษาและมาตรฐานที่แตกต่างกัน:
ผลการทดสอบของนักเรียนไทยยังต่ำกว่า 50% ในแต่ละสาระวิชา แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องของผู้ทํางานในกระทรวงศึกษาธิการ
โรงเรียนในชนบทยังเข้าถึงการศึกษาได้ไม่มากเท่าที่ควร
คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในแต่ละระดับและแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน ครูบางคนไม่ได้จบตรงสาขาที่สอน และโรงเรียนที่ห่างไกลขาดอุปกรณ์การเรียนการสอน
การจัดการศึกษาในแต่ละสถาบันแตกต่างกัน แต่ยังอยู่ในกรอบการศึกษาแห่งชาติ
ภาระงานของครูและการมุ่งเน้นที่นักเรียน:
ครูมีภาระงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การสอน ทำให้ไม่สามารถดูแลนักเรียนได้อย่างเต็มที่และเตรียมการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การประเมินครูไม่เน้นเชิงประจักษ์ที่นักเรียนเป็นสำคัญ แต่เน้นผลงานหรือการเลื่อนระดับ
การเข้าถึงการศึกษาและความเท่าเทียมกัน:
นักเรียนจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา ปัญหาความยากจนและครอบครัว
เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสควรได้รับการศึกษาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ถูกจำกัดด้วยความพิการ
ครู กศน. ไม่เพียงพอต่อจำนวนนักเรียน ทำให้บางพื้นที่เช่นท่าตะเกียบที่ห่างไกล ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้
โครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตยังเข้าไม่ถึงในบางพื้นที่ ทำให้เด็กขาดโอกาสในการเข้าถึงการเรียนรู้
หลักสูตรที่ไม่ตอบโจทย์และไม่ยืดหยุ่น:
เด็กนักเรียนจำนวนมากไม่ทราบว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอาชีพอะไร ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษา
หลักสูตรอาชีวศึกษาบางสาขาเปลี่ยนช้า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
นักเรียนที่เรียนทวิภาคีอาจมีทักษะทฤษฎีน้อยลง ทำให้เสียเปรียบในการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ปัญหาด้านวัฒนธรรมและเป้าหมายชีวิต:
เด็กแต่ละภาคส่วนมีลักษณะเฉพาะตัว แต่ภาคตะวันออกยังไม่มีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนในการพัฒนาเด็ก
เด็กในพื้นที่ห่างไกลบางคนมีการศึกษาเพื่อรับวุฒิเท่านั้น ไม่ได้มี Passion ในการเรียนรู้เท่าเด็กในเมือง
บางคนมีเป้าหมายชีวิตที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม
ความท้าทายในการพัฒนาทักษะสำหรับอนาคต:
เด็กเล็กยังไม่ได้รับการปลูกฝังเรื่องการพัฒนาทักษะทางสมองที่สำคัญ
เด็กที่จบไปทำงานไม่ได้ตามที่คาดหวัง ขาดสมรรถนะที่
ผลการทดสอบของนักเรียนยังต่ำกว่า 50% ในหลายวิชา และคุณภาพ/มาตรฐานการศึกษาในแต่ละโรงเรียน/ระดับไม่เท่ากัน
ครูบางคนไม่ได้จบตรงสายที่สอน และโรงเรียนที่ห่างไกลขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอน
ภาระงานครู: ครูมีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนมาก ทำให้ไม่มีเวลาดูแลนักเรียนและเตรียมการสอนได้อย่างเต็มที่ การประเมินครูไม่เน้นผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนเป็นสำคัญ
การเข้าถึงและความเท่าเทียม:
มีนักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษาจำนวนมาก (โดยเฉพาะช่วงอายุ 12-18 ปี) เนื่องจากความยากจน ปัญหาครอบครัว และไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา
เด็กพิการและด้อยโอกาสยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มศักยภาพ มักถูกปฏิเสธ หรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึง
ขาดแคลนครู กศน. (ปัจจุบันคือ สกร.) และโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล
หลักสูตรและความสอดคล้อง:
หลักสูตรอาชีวศึกษาบางสาขาปรับเปลี่ยนช้า ไม่ทันต่อเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว และเน้นภาคทฤษฎีมากเกินไป
นักเรียนจำนวนมากไม่ทราบว่าเรียนจบแล้วจะไปทำอาชีพอะไร ไม่เห็นประโยชน์ที่ชัดเจนของการเรียนรู้
การศึกษาปฐมวัยเน้นการอ่านเขียนมากเกินไป แทนการพัฒนาทักษะสมองที่จำเป็น (EF)
ปัญหาการเชื่อมโยงและรอยต่อ:
ขาดระบบการเทียบโอนหน่วยกิตหรือประสบการณ์ที่ยืดหยุ่นและไร้รอยต่อระหว่างสถาบันการศึกษาและรูปแบบการเรียนรู้ต่างๆ
นักเรียนทวิภาคีอาจมีทักษะทฤษฎีน้อยลง ทำให้เสียเปรียบในการสอบเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา
วัฒนธรรมและเป้าหมายชีวิต: เด็กในพื้นที่ห่างไกลบางคนเรียนเพื่อรับวุฒิเท่านั้น ไม่ได้มีแรงจูงใจในการเรียนรู้เท่าเด็กในเมือง และยังขาดเอกลักษณ์ที่ชัดเจนในการพัฒนาเยาวชนในภาคตะวันออก
ความเหลื่อมล้ำและคุณภาพที่แตกต่างกัน:
คุณภาพและมาตรฐานการศึกษาในแต่ละโรงเรียนและแต่ละระดับไม่เท่าเทียมกัน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายนักเรียนจากชนบทเข้าสู่ตัวเมือง
ครูผู้สอนบางคนไม่ได้จบตรงสาขาที่สอน และโรงเรียนที่ห่างไกลยังขาดอุปกรณ์การเรียนการสอน
ผลการทดสอบของนักเรียนไทยยังต่ำกว่า 50% ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สอดคล้องกันในการทำงานของผู้รับผิดชอบ
การเข้าถึงและการหลุดออกจากระบบ:
เด็กจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา (โดยเฉพาะช่วงอายุ 12-18 ปี) เนื่องจากปัญหาความยากจน ครอบครัว หรือไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา
เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มศักยภาพ มักถูกตีกลับจากโรงเรียนเรียนรวม หรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึง
ขาดแคลนครู สกร. (สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้) ในบางพื้นที่ และโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ห่างไกล
หลักสูตรที่ไม่ยืดหยุ่นและไม่ตอบโจทย์:
หลักสูตรยังไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร ทำให้ไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน โดยเฉพาะหลักสูตรอาชีวศึกษาบางสาขาที่ปรับเปลี่ยนไม่ทันเทคโนโลยี
นักเรียนจำนวนมากไม่ทราบว่าจะประกอบอาชีพอะไรเมื่อเรียนจบ ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาอย่างชัดเจน
การประเมินผลยังไม่เน้นสมรรถนะที่นักเรียนสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้จริง
ภาระงานของครู:
ครูมีภาระงานอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การสอนจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถดูแลนักเรียนและเตรียมการสอนได้อย่างเต็มที่
ความไม่เชื่อมโยงของระบบการเทียบโอนและคลังหน่วยกิต (Credit Bank):
ระบบการเทียบโอนหน่วยกิตหรือประสบการณ์เรียนรู้ระหว่างสถาบันการศึกษาและรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายยังขาดความเชื่อมโยงหรือการนำไปใช้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถนำประสบการณ์หรือทักษะที่ได้จากการเรียนรู้สั้นๆ หรือการทำงานมาต่อยอดการศึกษาในระดับสูงได้ง่ายนัก
นักเรียนสายอาชีวะที่เน้นการฝึกงาน อาจมีทักษะทฤษฎีน้อยลง ทำให้เสียเปรียบในการสอบแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) จังหวัดฉะเชิงเทรา:
ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาตนเอง และการปรับตัว
มีหลักสูตรการศึกษาพื้นฐานสำหรับผู้ใหญ่และหลักสูตรระยะสั้นเพื่อการประกอบอาชีพ
พยายามลดปัญหาเด็กหลุดจากระบบ โดยมีการเทียบโอนวิชาจากโรงเรียนเดิม และสำรวจความต้องการของผู้เรียน
มีการทำงานร่วมกับโรงเรียนพระดาบส เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนหลักสูตรวิชาชีพ 1 ปี และได้วุฒิการศึกษาไปพร้อมกัน
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา:
จัดการหลักสูตรที่ยืดหยุ่นตามศักยภาพและความพิการของผู้เรียน โดยจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP)
มีการประเมินผลที่หลากหลาย เช่น การใช้ภาษามือ หรือสื่อภาพสำหรับเด็กออทิสติก
ทำงานอย่างใกล้ชิดกับโรงเรียนเรียนรวมและผู้ปกครอง เพื่อช่วยให้เด็กพิการสามารถเรียนในโรงเรียนปกติได้ และมีการนิเทศติดตามผล
มีห้องเรียนสำหรับเด็กที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานาน เพื่อไม่ให้ขาดเรียนรู้
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์:
มีระบบแพลตฟอร์มการเรียนรู้ที่นักศึกษาสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
กำลังพัฒนาหลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) ที่สามารถเก็บเป็นหน่วยกิตในระบบคลังหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเทียบโอนไปสู่ปริญญาได้
ร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ๆ จัดอบรมหลักสูตรเพื่อสร้างอาชีพ เช่น ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีใบรับรองและโอกาสในการทำงาน
วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา:
จัดการศึกษาแบบ "ทวิศึกษา" โดยให้นักเรียน ม.3 เรียนวิชาพื้นฐานของ ปวช. และสามารถเทียบโอนหน่วยกิตได้หากเรียนต่อ
จัดการศึกษาแบบ "ทวิภาคี" โดยให้นักศึกษาเรียนในวิทยาลัยระยะหนึ่ง แล้วไปฝึกงานในสถานประกอบการจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะได้งานทำหลังจบ
มีการจัดหลักสูตรระยะสั้นให้กับผู้ต้องขังและผู้สนใจทั่วไป เพื่อสร้างทักษะและโอกาสในการประกอบอาชีพ
โรงเรียนสุจิปุลิ (และหอการค้าจังหวัด):
เน้นการศึกษาที่ตอบโจทย์แต่ละช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็กที่เน้นพัฒนาทักษะสมอง (EF)
ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย (เช่น ราชภัฏราชนครินทร์ และลาดกระบัง) ในโครงการ "นิสิตพันธุ์ใหม่" ที่นักเรียนสามารถเรียนวิชาพื้นฐานของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ ม.ปลาย และฝึกงานในสถานประกอบการเพื่อเทียบโอนหน่วยกิต
พัฒนา "หลักสูตรเพื่อ" (Purpose-based Curriculum) ที่เน้นให้ผู้เรียนมีเป้าหมายในการเรียนและเลือกวิชาที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเอง
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร:
จัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์และออนไซต์ที่ยืดหยุ่น โดยไม่จำกัดอายุของผู้เรียน
มีหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้นที่สามารถเทียบวุฒิการศึกษา (เช่น เทียบเท่า ม.6 ใน 1 ปี) และเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์
วิทยาลัยเทคโนโลยีอาเซียนบ้านโพธิ์ (จากการกล่าวถึง):
อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบการเทียบโอนหน่วยกิตจากประสบการณ์และการเรียนรู้
เน้นพัฒนาทักษะภาษา (จีนและอังกฤษ) ควบคู่กับทักษะวิชาชีพ
มีแนวคิดที่จะร่วมมือกับสถาบันต่างประเทศ (เช่น ฉางโจว) เพื่อให้นักเรียนได้ไปเรียนและฝึกงานในต่างประเทศ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1:
มีการปรับแนวปฏิบัติให้ยืดหยุ่นสำหรับการจัดการศึกษาแบบบ้านเรียน (Homeschool) โดยไม่จำกัดช่วงเวลาในการยื่นขออนุญาต
หน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานทางการศึกษา:
สำนักงานศึกษาธิการจังหวัด (กลุ่มนโยบายและแผน):
มุมมอง: เห็นว่าการศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทเชิงพื้นที่
ความต้องการ: โรงเรียนทุกแห่งควรมีคุณภาพและมาตรฐานเท่ากัน เพื่อรองรับนักเรียนในพื้นที่และลดการเคลื่อนย้ายนักเรียน
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.ฉะเชิงเทรา):
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาตนเอง การปรับตัว และการศึกษาเพื่อคุณวุฒิตามระดับ รวมถึงหลักสูตรระยะสั้นเพื่ออาชีพ
ความจำเป็น/ปัญหา: จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อลดปัญหาเด็กหลุดจากระบบ (อายุ 12-18 ปี) ซึ่งเกิดจากความยากจน ปัญหาครอบครัว และการไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา แต่พบปัญหาขาดแคลนครู โครงสร้างพื้นฐาน (อินเทอร์เน็ต) ไม่ทั่วถึง และหลักสูตรยังไม่ยืดหยุ่นพอที่จะตอบโจทย์ผู้เรียนได้จริง
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.ฉะเชิงเทรา):
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของเด็ก รัฐควรสนับสนุนให้ทุกคนมีโอกาส และควรนำรูปแบบการศึกษาแบบผสมผสานในอดีตมาปรับใช้
ปัญหา: เด็กจำนวนมากไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา ไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรหลังจากเรียนจบ และยังมีปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาฉะเชิงเทราเขต 1:
มุมมอง: เน้นที่นักเรียนเป็นสำคัญ ลดภาระงานครูที่ไม่ใช่การสอน และเห็นว่าการยืดหยุ่นเอื้อต่อการจัดการศึกษาแบบบ้านเรียน (Homeschool) โดยได้ปรับแนวปฏิบัติให้ยื่นขออนุญาตได้ตลอดเวลา
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา:
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อ จำเป็นอย่างมาก สำหรับเด็กเปราะบางและเด็กพิการ โดยมีการจัดการหลักสูตรเฉพาะบุคคล (IEP) การประเมินที่หลากหลาย การส่งต่อและนิเทศติดตามอย่างใกล้ชิดกับโรงเรียนเรียนรวมและผู้ปกครอง เพื่อให้เด็กกลับเข้าสู่สังคมได้มากที่สุด
วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา:
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการมีหลักสูตรระยะสั้นสำหรับผู้ที่ไม่ได้จบ ม.3 หรือผู้ต้องขัง และหลักสูตรทวิภาคี
ปัญหา: หลักสูตรปรับเปลี่ยนช้า ไม่ทันเทคโนโลยี นักศึกษาทวิภาคีบางคนขาดวุฒิภาวะ หรือขาดความรู้ทางทฤษฎีเมื่อต้องการเรียนต่อระดับสูง
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์:
มุมมอง: ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ มีหลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) ที่เก็บหน่วยกิตในระบบคลังหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเทียบโอนสู่ปริญญาได้ รวมถึงหลักสูตรฝึกอาชีพ (เช่น ดูแลผู้สูงอายุ ซ่อมยานยนต์ไฟฟ้า) ที่เชื่อมโยงกับภาคแรงงาน
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร:
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์และออนไซต์ที่ผสมผสาน ไม่จำกัดอายุผู้เรียน (เช่น 17-70 ปี) และมีหลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้นที่สามารถเทียบเท่า ม.6 หรือต่อปริญญาตรีได้
ผู้ทรงคุณวุฒิ/เอกชน/ประชาสังคม:
ผู้ทรงคุณวุฒิใน กศจ.:
มุมมอง: การศึกษาไทยยังไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ผลทดสอบต่ำกว่า 50% แสดงถึงความไม่สอดคล้องของผู้ทำงานในกระทรวง
ผู้จัดการศึกษาแบบบ้านเรียน:
มุมมอง: ต้องการให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมและมีมาตรฐานที่เหมาะสมกับศักยภาพรายบุคคล เน้นให้การเรียนมีความสุข และนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้จริง มองการบ้านเรียนเป็นรูปแบบที่ยืดหยุ่น แต่เผชิญข้อกังวลเรื่องสังคมและวิธีสอน
รองประธานหอการค้าจังหวัด (ผู้อำนวยการโรงเรียนสุจิบุรี):
มุมมอง: มองการศึกษาแบบยืดหยุ่นไร้รอยต่อในรูปแบบ การศึกษาเพื่อคนทุกช่วงวัย (5 ช่วงวัย) ตั้งแต่เด็กเล็กที่เน้นพัฒนาทักษะสมอง (EF) การปลูกฝังความเป็นพลเมือง การพัฒนาสมรรถนะอาชีพ การ Reskill/Upskill สำหรับผู้ใหญ่ และการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ มีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเพื่อให้นักเรียน ม.ปลาย เรียนวิชาพื้นฐานมหาวิทยาลัยและฝึกงานเพื่อเทียบโอนหน่วยกิต (Purpose-based Curriculum)
เด็กและเยาวชน (ผู้แทนนักเรียน/หัวหน้างานสภานักเรียน):
ประธานสภานักเรียน:
มุมมอง: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน (เช่น ช่วงโควิด-19) เด็กสนใจสื่อออนไลน์ จึงควรนำมาปรับใช้ให้เข้าถึงนักเรียนทุกคนทั่วประเทศ
หัวหน้างานสภานักเรียน:
มุมมอง: ต้องการให้ครูกลับสู่ห้องเรียนอย่างจริงจังโดยลดภาระงานอื่น ๆ เพื่อให้มีเวลาพัฒนาการเรียนการสอนมากขึ้น เน้นการสร้างอัตลักษณ์เฉพาะถิ่นให้เด็กภาคตะวันออก เพราะเด็กในพื้นที่ห่างไกลมักเรียนเพื่อรับวุฒิ ไม่ใช่เพื่อ Passion หรือเป้าหมายที่สังคมยอมรับ
สรุปความแตกต่าง:
ภาครัฐ/หน่วยงานทางการศึกษา: มักเน้นไปที่การปฏิรูปโครงสร้าง หลักสูตร และการจัดการเรียนการสอนให้ยืดหยุ่นเพื่อรองรับความหลากหลายของผู้เรียนและแก้ปัญหาเด็กหลุดจากระบบ แต่ก็พบข้อจำกัดด้านทรัพยากรและกรอบระเบียบ
มหาวิทยาลัย: เป็นหน่วยงานที่แสดงออกถึงความพร้อมในการเป็นกลไกหลักของการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่นไร้รอยต่ออย่างชัดเจนที่สุด ผ่านการนำเทคโนโลยีมาใช้ ระบบคลังหน่วยกิต และหลักสูตรที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ทุกวัยและทุกระดับ
ภาคเอกชน (หอการค้า/สุจิบุรี): มีมุมมองที่กว้างและเป็นองค์รวม เน้นการเชื่อมโยงการศึกษากับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยคำนึงถึงทุกช่วงวัยและความพร้อมในการทำงานจริงของผู้จบการศึกษา
ประชาสังคม (บ้านเรียน): เน้นความสุขของผู้เรียนและอิสระในการออกแบบการเรียนรู้ตามความสนใจและศักยภาพของเด็กแต่ละคน
เด็กและเยาวชน: เน้นความต้องการที่จับต้องได้ เช่น การเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียม การใช้สื่อออนไลน์ที่คุ้นเคย และความชัดเจนของเป้าหมายหลังเรียนจบ รวมถึงความต้องการให้ครูมีเวลาสอนมากขึ้น
จากการประชุม มีบุคคลและหน่วยงานหลายแห่งที่มีความเห็นต่อการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมดังนี้:
ผู้อำนวยการโรงเรียนสุจิปุลิ และรองประธานหอการค้าจังหวัด):
ความเห็น: มองว่าการศึกษาที่ยืดหยุ่นไร้รอยต่อคือ "การศึกษาเพื่อคนทุกช่วงวัย" และควรตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตของผู้เรียน
เป็นรูปธรรม:
เสนอแนวคิดการศึกษา 5 ช่วงวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก (เน้นพัฒนาทักษะสมอง EF) เด็กวัยปลูกฝังความเป็นพลเมือง (8-12 ปี) วัยสร้างทักษะเพื่ออาชีพ (มัธยม-อุดมศึกษา) วัย Re-skill/Up-skill สำหรับผู้ใหญ่ และวัยผู้สูงอายุ (ดูแลสุขภาพ/เตรียมตัว)
ทำ "หลักสูตรเพื่อ (Purpose-based Curriculum)" โดยให้นักเรียนมีเป้าหมายก่อนเลือกเรียนวิชา
ร่วมกับมหาวิทยาลัยในโครงการ "นิสิตพันธุ์ใหม่" ให้นักเรียน ม.ปลาย เรียนวิชาพื้นฐานมหาวิทยาลัยและฝึกงานเพื่อเทียบโอนหน่วยกิตได้
มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถเก็บสะสมเพื่อต่อยอดได้
เป็นรูปธรรม:
มี แพลตฟอร์มการเรียนรู้ ที่นักศึกษาสามารถเข้าถึงสื่อการเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา
พัฒนา หลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) ที่สามารถเก็บเป็นหน่วยกิตในระบบ คลังหน่วยกิต (Credit Bank) เพื่อเทียบโอนไปสู่ปริญญาได้ โดยไม่จำกัดอายุและไม่มีหมดอายุ
จัดอบรมหลักสูตรเพื่อสร้างอาชีพ เช่น ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือซ่อมบำรุงยานยนต์ไฟฟ้า โดยร่วมมือกับหน่วยงานอื่น มีใบรับรองและโอกาสในการทำงาน
ศูนย์การศึกษาพิเศษประจำจังหวัดฉะเชิงเทรา
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเด็กเปราะบางและเด็กพิการ เพื่อให้กลับเข้าสู่สังคมได้มากที่สุด
เป็นรูปธรรม:
จัดการหลักสูตรที่ยืดหยุ่นตามศักยภาพและความพิการของผู้เรียน โดยทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (IEP) และใช้การประเมินผลที่หลากหลาย (เช่น ภาษามือ สื่อภาพ)
มีกระบวนการ ส่งต่อและนิเทศ เด็กพิการไปยังโรงเรียนเรียนรวม ให้ความรู้แก่ครูปลายทางและผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด
มี ห้องเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วย ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนานๆ เพื่อไม่ให้ขาดเรียนรู้
วิทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่มีวุฒิสูง หรือผู้ต้องขัง ได้เรียนทักษะอาชีพระยะสั้น และการจัดการศึกษาที่เน้นภาคปฏิบัติ
เป็นรูปธรรม:
จัด หลักสูตรระยะสั้น สำหรับผู้ที่จบไม่ถึง ม.3 หรือผู้ต้องขัง เพื่อให้มีทักษะไปประกอบอาชีพ (เช่น ช่างตัดผม, ช่างล้างแอร์)
จัดการศึกษาแบบ "ทวิศึกษา" ให้นักเรียน ม.3 มาเรียนวิชาพื้นฐาน ปวช. และเทียบโอนหน่วยกิตได้หากเรียนต่อ
จัดการศึกษาแบบ "ทวิภาคี" โดยให้นักศึกษาเรียนในวิทยาลัยระยะหนึ่ง แล้วไปฝึกงานในสถานประกอบการจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะได้งานทำหลังจบ
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์พุทธโสธร
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อควรเป็นการเรียนรู้แบบผสมผสาน (ออนไลน์/ออนไซต์) ที่ไม่จำกัดอายุ และมีหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการระยะสั้น
เป็นรูปธรรม:
จัดการเรียนการสอนที่ ไม่จำกัดอายุ ผู้เรียน (เช่น 17-70 ปี) ทั้งพระและฆราวาส
มี หลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้น ที่สามารถเทียบวุฒิ ม.6 ได้ใน 1 ปี และเรียนในวันหยุดสุดสัปดาห์
สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) จังหวัดฉะเชิงเทรา:
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เห็นประโยชน์และสามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อลดปัญหาเด็กหลุดจากระบบ
เป็นรูปธรรม:
มีการ เทียบโอนวิชา ให้กับเด็กที่หลุดจากระบบ และทำงานร่วมกับ โรงเรียนพระดาบส เพื่อให้เด็กได้เรียนวิชาชีพ 1 ปี และได้วุฒิการศึกษาพื้นฐานไปพร้อมกัน
ผู้จัดการศึกษาแบบบ้านเรียน
ความเห็น: การศึกษายืดหยุ่นไร้รอยต่อคือการเข้าถึงการศึกษาที่เท่าเทียมและมีมาตรฐานในศักยภาพของแต่ละบุคคล และเรียนรู้อย่างมีความสุข
เป็นรูปธรรม:
มีการจัดการศึกษาแบบ บ้านเรียน (Homeschool) โดยมีการเขียนแผนการเรียนรู้ที่อิงตามหลักสูตรแกนกลางแต่เน้นความถนัดและความสนใจของผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
คุณภาพและมาตรฐานที่แตกต่างกัน:
โรงเรียนทุกแห่งยังไม่มีคุณภาพและมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน ทำให้มีการเคลื่อนย้ายนักเรียนจากชนบทเข้าสู่ตัวเมือง
ครูบางคนไม่ได้จบตรงสาขาที่สอน และโรงเรียนที่ห่างไกลยังขาดอุปกรณ์การเรียนการสอน
ผลการทดสอบของนักเรียนไทยยังต่ำกว่า 50% แสดงถึงความไม่สอดคล้องกันในการทำงานของผู้รับผิดชอบ
ปัญหาเด็กหลุดจากระบบและการเข้าถึงการศึกษา:
เด็กจำนวนมากหลุดออกจากระบบการศึกษา (โดยเฉพาะช่วงอายุ 12-18 ปี) เนื่องจากความยากจน ปัญหาครอบครัว และการไม่เห็นคุณค่าของการศึกษา
เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาสยังไม่ได้รับการศึกษาอย่างเต็มศักยภาพ มักถูกตีกลับจากโรงเรียนเรียนรวม หรือมีข้อจำกัดในการเข้าถึง
การส่งต่อเด็กพิการไปยังโรงเรียนเรียนรวมยังเป็นงานหนัก เนื่องจากครูปลายทางยังขาดความเข้าใจและการนิเทศติดตามไม่ต่อเนื่อง
ขาดแคลนครู สกร. (สำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้) และโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตยังไม่ทั่วถึงในพื้นที่ห่างไกล
หลักสูตรที่ไม่ตอบโจทย์และไม่ยืดหยุ่นเพียงพอ:
หลักสูตรยังไม่ยืดหยุ่นพอที่จะตอบโจทย์ผู้เรียนรายบุคคล (โดยเฉพาะหลักสูตร สกร. ที่ยังใช้หลักสูตรเดียวสำหรับทุกคน)
หลักสูตรอาชีวศึกษาบางสาขาปรับเปลี่ยนช้า ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
นักเรียนจำนวนมากไม่ทราบว่าจะประกอบอาชีพอะไรเมื่อเรียนจบ ไม่เห็นประโยชน์ของการศึกษาอย่างชัดเจน
การประเมินผลยังไม่เน้นสมรรถนะที่นักเรียนสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้จริง
การศึกษาปฐมวัยยังเน้นการอ่านเขียนมากเกินไป แทนการพัฒนาทักษะสมอง (EF)
ความไม่เชื่อมโยงของระบบการเทียบโอนและคลังหน่วยกิต (Credit Bank):
ระบบการเทียบโอนหน่วยกิตหรือประสบการณ์เรียนรู้ยังขาดความเชื่อมโยงระหว่างสถาบันการศึกษาและรูปแบบการเรียนรู้ต่างๆ ทำให้ผู้เรียนนำประสบการณ์ไปต่อยอดได้ยาก
นักเรียนสายอาชีวะที่เน้นการฝึกงาน อาจมีทักษะทฤษฎีน้อยลง ทำให้เสียเปรียบในการสอบแข่งขันเพื่อเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย
ระบบเครดิตแบงก์ที่ภาครัฐกำลังดำเนินการยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีข้อจำกัดหลายด้าน
ภาระงานของครู:
ครูมีภาระงานอื่นที่ไม่ใช่การสอนจำนวนมาก ทำให้ไม่มีเวลาดูแลนักเรียนและเตรียมการสอนได้อย่างเต็มที่
ปัญหาด้านวัฒนธรรมและเป้าหมายชีวิต:
เด็กในพื้นที่ห่างไกลบางคนเรียนเพื่อรับวุฒิเท่านั้น ไม่ได้มีแรงจูงใจในการเรียนรู้เท่าเด็กในเมือง หรือมี Mindset ที่สังคมอาจไม่ยอมรับ
ปัญหาทางวัฒนธรรมยังเป็นอุปสรรค เพราะคนต่างวัฒนธรรมไปอยู่ด้วยกันจะเกิดรอยแยกและช่องว่างได้ง่าย
ความท้าทายจากการจัดการศึกษาแบบยืดหยุ่น:
การจัดการศึกษาแบบบ้านเรียนบางครั้งอาจยืดหยุ่นเกินไป จนเด็กไม่ค่อยอยู่ในกฎระเบียบ
การนำสื่อออนไลน์มาใช้ยังไม่ครอบคลุมเด็กในทุกช่วงวัยและทั่วประเทศ